Wealth Sharing

ยุบสภา – ลาออก – อยู่ต่อ วิเคราะห์ “จุดจบ” การเมือง ชี้ชะตาตลาดหุ้นไทย


20 มิถุนายน 2568

ความท้าทายกลับมาเยือนเพื่อไทย และรัฐบาลอีกครั้ง หลังมีประเด็น คลิปเสียงนายกนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กับ สมเด็จฯ ฮุน เซน ผู้นำกัมพูชาที่หลุดออกมา ทำให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในสายตาของพรรคร่วมและประชาชนลดลง เคราะห์ซ้ำพรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาล และตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยว่างลง ทำมีความกังวลถึงงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น มีโอกาสล่าช้าหรือไม่

ยุบสภา – ลาออก – อยู่ต่อ_WS (เว็บ) copy.jpg

ล่าสุดนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากกรณีมีการรั่วไหลของบทสนทนาทางโทรศัพท์ส่วนตัวระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร กับสมเด็จฮุน เซน ผู้นำของกัมพูชา ซึ่งเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน 

โดยข้อความในการสนทนาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างสองประเทศ อย่างไรก็ตาม เนื้อหาบางส่วนได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนชาวไทย ในทางการเมือง 

ทั้งนี้ฝ่ายวิจัย เชื่อว่าเป็นเรื่องยากที่นายกรัฐมนตรีจะสามารถอยู่รอดได้ ภายใต้โครงสร้างของรัฐบาลปัจจุบัน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่นายกรัฐมนตรีจะลาออกหรือยุบสภา ฝ่ายวิจัยจึงขอนำเสนอกรณีต่าง ๆ ด้านล่างนี้ ซึ่งในส่วนใหญ่แล้วเป็นข่าวร้ายสำหรับตลาด

กรณีแรก มองว่าเป็นสถานการณ์ที่สร้างความเสียหายน้อยที่สุด คือ นายกรัฐมนตรีลาออก ซึ่งจะทำให้คณะรัฐมนตรีกลายเป็นรัฐบาลรักษาการโดยอัตโนมัติ และรัฐสภาดำเนินการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่โดยไม่จำเป็นต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ จากนั้นนายกรัฐมนตรีคนใหม่จะทำการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ตามรัฐธรรมนูญ รัฐสภาสามารถลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีได้เฉพาะในรายชื่อผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อไว้ในช่วงการเลือกตั้งปี 2566 เท่านั้น 

หากสมมติว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังคงจับมือกันต่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ยังเหลือผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีอีกหนึ่งคน คือ นายชัยเกษม นิติสิริ ส่วนรายชื่อบุคคลสำคัญที่เหลืออยู่ ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กรณีนี้นับว่าเป็นทางออกที่รวดเร็วที่สุด โดยอาจใช้เวลาเพียงหนึ่งถึงสองเดือนก็สามารถจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้ 

กรณีที่สอง คือ นายกรัฐมนตรีตัดสินใจยุบสภา กรณีนี้ถือว่าค่อนข้างสร้างความเสียหาย เนื่องจากมีความแน่นอนค่อนข้างสูงว่าจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐสภาชุดใหม่เพื่อพิจารณาร่างงบประมาณปี 69 ได้ทันภายในเดือนกันยายน 68 ก่อนที่ปีงบประมาณใหม่จะเริ่มต้นในเดือนตุลาคม 68

การยุบสภาจะนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ภายใน 45-60 วัน หรือประมาณเดือนสิงหาคม จากนั้น สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่จะลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ตามมา แม้จะไม่มีกรอบเวลาที่แน่นอนสำหรับกระบวนการเหล่านี้ทั้งหมด แต่ประเมินโดยประมาณว่า จะใช้เวลาอีกราว 2 เดือนหลังการเลือกตั้ง นั่นหมายความว่ากระบวนการทั้งหมดอาจเสร็จสิ้นภายในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 68 

กรณีที่สาม คือ เมื่อพรรคร่วมรัฐบาลหลัก โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย (69 เสียง), พรรครวมไทยสร้างชาติ (36 เสียง), พรรคพลังประชารัฐ (19 เสียง) และพรรคประชาธิปัตย์ (25 เสียง) ตัดสินใจถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และย้ายไปอยู่ฝั่งฝ่ายค้านแทน กรณีนี้จะทำให้พรรคเพื่อไทยกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในทันที โดยผลลัพธ์แล้วจะทำให้ไม่สามารถผลักดันกฎหมายผ่านสภาได้ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดแรงกดดันให้นายกรัฐมนตรีต้องยุบสภา หรือกลับไปสู่กรณีที่สอง นายกรัฐมนตรีมีแนวโน้มที่จะไม่ลาออกภายใต้กรณีที่สาม เนื่องจากนั่นจะเปิดทางให้ฝ่ายค้านซึ่งจะมีเสียงข้างมากในสภาจัดตั้งรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยจะกลายเป็นฝ่ายค้าน สำหรับพรรคเพื่อไทยแล้ว การเลือกตั้งใหม่ถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพื่อเสี่ยงดวงว่าพรรคจะสามารถกลับมาเป็นรัฐบาลได้อีกครั้งหรือไม่

กรณีที่สี่ คือ พรรคเพื่อไทยเชิญพรรคฝ่ายค้านในปัจจุบัน คือพรรคประชาชน (พปช.) ซึ่งมี ส.ส. อยู่ 143 คน เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล ในทางเทคนิคแล้ว กรณีนี้สามารถเกิดขึ้นได้ หากพรรคร่วมรัฐบาลในปัจจุบันปฏิเสธที่จะอยู่กับรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยต่อไป 

อย่างไรก็ตาม มองว่ากรณีนี้เป็นไปไม่ได้ เหตุผลหนึ่งคือ เป็นการเดินเกมที่ผิดพลาดทางการเมืองสำหรับพรรคประชาชน หากจะสวนกระแสสังคมในเวลานี้และเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย อีกเหตุผลหนึ่งคือ พรรคเพื่อไทยเองก็อาจไม่ต้องการให้พรรคประชาชนเข้าร่วมรัฐบาล เพราะอาจสร้างความไม่พอใจให้กับอำนาจเก่า ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่พรรคเพื่อไทยปฏิเสธการจับมือกับพรรคประชาชนในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งปี 66 

กรณีสุดท้าย การรัฐประหาร ซึ่งมองว่ามีความเป็นไปได้น้อยมากหรือแทบเป็นศูนย์ในเวลานี้ โดยเชื่อว่าสถานการณ์ในปัจจุบันยังไม่สุกงอมพอที่จะนำไปสู่การรัฐประหาร และยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะทางตันทางการเมือง ยังคงมีทางออกตามกรณีที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น

สรุป คือ คาดว่าในที่สุดนายกรัฐมนตรีจะเลือกทางใดทางหนึ่งระหว่างการลาออกหรือการยุบสภา จึงให้นํ้าหนักความเป็นไปได้เท่ากันระหว่างกรณีที่ 1 (ลาออก) และกรณีที่ 2 (ยุบสภา) หากพรรคเพื่อไทยสามารถเจรจาและทำให้พรรคร่วมรัฐบาลยังคงอยู่ด้วยกันได้ กรณีที่ 1 ก็จะเกิดขึ้น แต่หากการเจรจาล้มเหลว พรรคเพื่อไทยก็มีแนวโน้มที่จะเลือกกรณีที่ 2 แทน กรณีที่ 1 ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุดต่อผลประโยชน์ของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ เนื่องจากทุกฝ่ายยังสามารถอยู่ในรัฐบาลต่อไปได้ 

อย่างไรก็ตาม บทสนทนาที่หลุดออกมาได้สร้างกระแสความไม่พอใจในสังคมอย่างมาก และพรรคร่วมรัฐบาลอาจไม่ต้องการขัดกระแสนั้น จึงประเมินว่าโอกาสที่สถานการณ์อื่นๆ จะเกิดขึ้นนั้นมีน้อยมาก อย่างไรก็ดี การสนทนาที่ถูกเผยแพร่ออกมาได้ส่งผลกระทบในทางลบต่อความรู้สึกของสาธารณชนอย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่ต้องการดำเนินการสวนกระแสนั้น จึงให้ความเป็นไปได้ของสถานการณ์ที่เหลืออยู่ในระดับตํ่ามาก

ในระหว่างนี้ มีความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยจะพยายามเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาลก่อน แม้พรรคภูมิใจไทยจะยืนยันว่าจะย้ายไปอยู่ฝั่งฝ่ายค้านก็ตาม รัฐบาลยังสามารถประวิงเวลาได้บ้าง เนื่องจากยังมีเสียงข้างมากในสภาเพียงเล็กน้อยอยู่ที่ 253 เสียง 

ในมุมมองของฝ่ายวิจัย กรณีที่ดีที่สุดต่อเศรษฐกิจ คือกรณีแรกตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งประเทศไทยจะยังคงมีรัฐบาลในปีที่ยากลำบากนี้ ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณปี 69 ยังไม่ได้เข้าสู่การลงมติขั้นสุดท้าย ขณะที่การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ยังต้องการการตัดสินใจจากฝ่ายบริหาร ดังนั้น การยุบสภาจึงถือเป็นกรณีที่ส่งผลเสียต่อประเทศ 

ดังนั้นทุกสถานการณ์ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในระดับสูง ซึ่งไม่เป็นที่ชื่นชอบของตลาด มีความเป็นไปได้ที่ดัชนี SET จะปรับลดลงใกล้ระดับวิกฤตที่ประมาณ 1,000 จุด หรือเท่ากับระดับ P/BV ที่ 1 เท่า หากนายกรัฐมนตรีตัดสินใจเลือกยุบสภา เป้าหมายดัชนี SET สิ้นปีที่ระดับ 1,200 จุด จะมีความเสี่ยงด้านขาลง เนื่องจากร่างงบประมาณปี 69 จะถูกเลื่อนออกไปอีกครั้ง 

ยุบสภา – ลาออก – อยู่ต่อ_WS (เพจ) copy.jpg