AOT เจอแรงกระแทกครั้งใหญ่ หาก “คิง เพาเวอร์” ถอนตัว อาจกระทบกำไรสูงถึง 29%
แม้ปี 2568 ธุรกิจสนามบินในไทยจะยังคาดหวังการเติบโต แต่ตัวเลขรายได้ที่ประเมินไว้ราว 80,700 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% จากปีก่อน (อ้างอิงศูนย์วิจัยกสิกรไทย)
สะท้อนถึงภาวะ “โตแบบเปราะบาง” ท่ามกลางแรงกดดันหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงแนวโน้มการเดินทางระหว่างประเทศที่ยังไม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด
สำหรับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ซึ่งถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในระบบสนามบินของไทย ทำให้รายได้ที่เกี่ยวข้องกับกิจการการบิน (เช่น ค่าธรรมเนียมสนามบิน) และรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบิน (เช่น สัมปทานค้าปลีกในสนามบิน) ต่างอาจถูกกดดัน หากจำนวนผู้โดยสารและแผนเที่ยวบินต่ำกว่าคาด
จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวไม่ชัดเจน ทำให้ AOT ต้องประสบอีหนึ่งปัญหา จากแรงกดดันของ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ที่มีหนังสือขอหารือแนวทางยกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของบริษัท ได้แก่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่
ทั้งนี้ เนื่องจากคิง เพาเวอร์ได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ การหยุดดำเนินการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าจากนโยบายภาครัฐ การลดภาษีสินค้าประเภทไวน์ อันส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายภายในร้านค้าปลอดอากร การขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการของเอโอที การขาดมาตรการเชิงรุกของภาครัฐในการบริหารจัดการความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวส่งผลต่อการลดลงของนักท่องเที่ยวชาวจีน และโควิด-19 รวมถึงสถานการณ์สงครามและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้ไม่สามารถประกอบกิจการและปฏิบัติตามสัญญา ที่ได้ตกลงไว้ อีกทั้งทำให้ประสบกับภาวะการขาดทุนมาโดยตลอด ปัจจัยนี้ ถือเป็นแรงกดันต่อ AOT ที่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างร้อนแรง ซึ่งหากย้อนกลับไปในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ราคาหุ้นลดลงสูงถึง 24% หรือราคาหลุดต่ำกว่าระดับ 30 บาทไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (อ้างอิงราคาหุ้นวันที่ 13 มิ.ย.68)
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อหารือแนวทางกับ KPD รวมถึงการดำเนินการจัดจ้าง ที่ปรึกษาที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ทางเลือกที่เป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาในการ ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานของ ทอท. พร้อมทั้งเสนอแนะทางเลือกที่ได้จาก ผลการศึกษาและวิเคราะห์ที่เหมาะสมที่สุดในการดำเนินการที่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดประโยชน์ สูงสุดต่อบริษัท และเป็นธรรมกับผู้ประกอบการ
ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ระยะสั้น แนะนำให้ “ชะลอ” การลงทุนจนกว่าจะได้รับความชัดเจนเกี่ยวกับโครงการร้านค้าปลอดภาษี หลังจากทาง คิง เพาเวอร์ มีการทำหนังสือขอปรับสัญญา/ยกเลิก เกี่ยวกับการให้บริการร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินภูมิภาค (เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่)
เนื่องจากทำให้มีความไม่แน่นอนของรายได้ที่จะเข้ามาในอนาคต ทั้งกรณียกเลิกสัญญา หรือเจรจาขอปรับเงื่อนไขการชำระเงิน นอกจากนี้ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าทาง คิง เพาเวอร์จะมีการเจรจาขอปรับเงื่อนไขในสนามบินหลักอย่างสุวรรณภูมิด้วยหรือไม่ เพราะถือเป็นสนามบินที่มีสัดส่วนรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์มากที่สุด โดยเราจะมีการประชุมกับผู้บริหารบ่ายวันนี้ก่อนจะมีการออกรายงานเพิ่มอีกครั้ง
โดยในนปี 2567 AOT มีรายได้จาก คิง เพาเวอร์ รวมประมาณ 18,000 ล้านบาท (แบ่งเป็นที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองประมาณ 16,500 ล้านบาท และสนามบินภูมิภาคประมาณ 1,500 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 27% ของรายได้จากธุรกิจหลักของ AOT
ทั้งนี้มองว่าผลประทบที่จะเกิดถ้าคิดเฉพาะสนามบินภูมิภาคในกรณีที่แย่สุดคือยกเลิกประมูลและรายดังกล่าวหายไปจะกระทบรายได้ในปี 26 ประมาณ 2% และกระทบกำไรสุทธิประมาณ 5%
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือสัญญาที่สนามบินสุวรรณภูมิที่มีมูลค่าสูงซึ่งหากมีการปรับสัญญาหรือยกเลิกและประมูลใหม่จะกระทบกับรายได้และกำไรสุทธิอย่างมาก
เบื้องต้นหากมีการปรับสัญญาที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองด้วย ทำให้มีการประเมินผลกระทบสำหรับปี 2569 ในส่วนของรายได้ประมาณ 11% และ กำไรสุทธิ 29% โดยอิงกับรายได้ของคิง เพาเวอร์ในปี 2566 ที่รายงานกรมธุรกิจการค้าและมีการปรับกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่ระดับ 34 ล้านคน (ปี 2566 นักท่องเที่ยว 28 ล้านคน)
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด แนะนำ “ขาย” สำหรับ AOT โดยปรับมูลค่าที่เหมาะสม (TP) เป็น 25.00 บาท ลดลงจาก 37.00 บาท มูลค่าที่เหมาะสมนี้คิดเป็นอัตราส่วน P/E ปี 2026 ที่ 18.3 เท่าสอดคล้องกับผู้ประกอบการท่าอากาศยานในภูมิภาค ยกเว้นท่าอากาศยานในจีน
ทั้งนี้ได้ปรับลดคาดการณ์กำไรลง 19% สำหรับปี 2569 และ 17% สำหรับปี 2570 โดยการปรับลดนี้เกิดจากปัจจัยหลักสามประการ
ประการแรก ได้ลดการคาดการณ์จำนวนผู้เดินทางต่างชาติ โดยเฉพาะเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในการท่องเที่ยวต่างประเทศของจีนส่งผลให้จำนวนผู้โดยสาร (PAX) ลดลง 5-7%
ประการที่สอง ได้ลดการคาดการณ์สำหรับการใช้จ่ายต่อผู้โดยสารในทุกท่าอากาศยาน โดยลดรายได้สัมปทานต่อผู้โดยสาร 20% สอดคล้องกับมุมมองของ KP เกี่ยวกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในการรักษาความสามารถในการทำกำไรในส่วน duty-free
ประการที่สาม ได้นำข้อมูลกำไรล่าสุดมาพิจารณา ซึ่งรวมถึงรายได้สัมปทานต่อผู้โดยสารปี 2568 ที่สูงกว่าคาดหวัง เนื่องจาก AOT รับรู้รายได้รอการรับรู้ ตรงข้ามกับการคาดการณ์เดิมที่คาดว่าจะมีการลดการชำระเงิน
ฝ่ายวิจัยยังเน้นย้ำถึงความเสี่ยงด้าน downside ที่อาจเกิดขึ้น 1.4 บาทต่อหุ้น ที่เกี่ยวข้องกับหนังสือค้ำประกันธนาคารที่ค้างอยู่จาก King Power หาก AOT ไม่สามารถเอาคืนทั้งหนังสือค้ำประกันการชำระเงินรอการรับรู้ และหนังสือค้ำประกันสัญญาเต็มจำนวนได้ ความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นทั้งหมดอาจถึง 20,000 ล้านบาทตามการประมาณการของฝ่ายวิจัย
ยอดนิยม
%20copy_0.jpg)
หาจังหวะเก็งกำไรหุ้นเข้า SET50 หลังตลาดฯ ประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว โบรกฯ คาดมีลุ้นฟันผลตอบแทน 2-3%
_0.jpg)
BBL-KTB เฮ! หลังการบินไทยคัมแบ๊ก SET มีลุ้นกลับรายการสำรองฯที่ตั้งไว้
_0.jpg)
โบรกฯ ร้องทุกฝ่ายช่วยเหลือตลาด วอนให้สื่อเสนอข่าวดี อย่าขยี้ข่าวร้าย หลังตลาดหุ้นไทย บอบช้ำลงแรงต่อเนื่อง
%20copy_0.jpg)
BANPU เตรียมรับทรัพย์ หลัง BRS ขายโรงไฟฟ้าญี่ปุ่น 4.46 พันลบ. โบรกฯ ชี้เพิ่มเงินสดในมือ-รับการลงทุนใหม่
_0.jpg)