Wealth Sharing

ส่องพื้นฐาน 4 หุ้น เข้า Micro Cap หลัง FTSE Rebalance


16 มิถุนายน 2568

ในช่วงปลายเดือนมิ.ย.หรือวันที่ 20 มิ.ย. นี้ ได้มีปัจจัยที่น่าติดตามต่อตลาดหุ้นไทยอย่าง FTSE Rebalance ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะมีผลต่อเม็ดเงินลงทุนของสถาบันและนักลงทุนต่างชาติ โดยก็นักวิเคราะห์ได้ออกมาคาดการณ์ถึงแนวโน้มดังกล่าวให้นักลงทุนหลายๆคนได้ทราบกัน

ส่องพื้นฐาน 4 หุ้น_WS (เว็บ).jpg

แต่จุดที่น่าสนใจและทางสำนักข่าว Share2Trade จะหยิบยกมาพูดถึงกัน ก็คือกลุ่มที่ Micro Cap Index เนื่องจากเป็นกลุ่มที่นักวิเคราะห์ได้มองแตกต่างกันออกไปในครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นเช่นไรนักลงทุนและผู้อ่านสามารถไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามข้อมูลด้านล่างนี้

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ในวันที่ 20 มิ.ย. FTSE All World Index Rebalance รอบ มิ.ย. 2568 ไม่มีหุ้นไทยถูกถอดออก แต่ประเทศไทยจะถูกลดน้ำหนักรวม 150 ล้านเหรียญดอลลาร์ หรือ คิดเป็น 5,000 ล้านบาท ที่อัตรา 32.8 บาทต่อดอลลาร์

โดยคาดการณ์ Large Cap Index (FTSE All World) หุ้นที่จะเพิ่มน้ำหนักคือ DELTA เพิ่มขึ้น 165 ล้านบาท และหุ้นที่ถูกลดน้ำหนัก คือ PTT ลดลง 975 ล้านบาท, CPN ลดลง 513 ล้านบาท, CPF ลดลง 500 ล้านบาท, CPALL ลดลง 430 ล้านบาท และ BDMS ลดลง 285 ล้านบาท

ส่วนหุ้น Small Cap Index ไม่มีหุ้นเข้าและหุ้นออก ขณะที่ Micro Cap Index หุ้นเข้าใหม่ ประกอบไปด้วย MEDEZE, NKT, OKJ และ TMAN ส่วนหุ้นออกไม่มี ดังนั้นกลยุทธ์แนะนำ ระวังแรงขายในหุ้นที่ถูกลดน้ำหนักในระยะสั้น ขณะเดียวกันหุ้นเล็กที่ถูกเข้าคำนวณ Micro Cap อาจมีโฟลว์เก็งกำไรเข้าระยะสั้น

สำหรับปัจจัยพื้นฐานหุ้นรายตัวกลุ่ม Micro cap อย่าง  MEDEZE นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ให้มุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการปี 2568 กำไรเติบโต 28% เป็น 435 ล้านบาท โดยมีจากการเติบโตจาก Organic Growth ราว15% และเติบโตจากการขยายธุรกิจใหม่ การจัดเก็บเซลล์รากผม

ดังนั้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง สวนทางผลประกอบการที่เติบโตดีประเด็นที่ธุรกิจ Stem Cells เคยถูกโจมตีทางแพทยสภา ได้ให้การยอมรับแล้ว ขณะที่ทางรัฐบาลให้การสนับสนุน จากการประชุมวงการแพทย์และสาธารณสุข ได้จัดให้อยู่ในกลุ่มนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อย่างไรก็ตามด้วยปัจจัยเสี่ยงมหภาคที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นในกลุ่ม รพ. ซื้อขายที่ P/E ที่ต่ำลง มีการปรับสมมุติฐานแบบอนุรักษ์นิยมมากขึ้น จึงปรับราคาเป้าหมายมาอยู่ที่ 11 บาท

NKT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด คาดการณ์กำไรปี 2568 ที่ 286 ล้านบาท เติบโต 18.2% จากปีก่อนหน้า ตามคาดการณ์รายได้ที่เพิ่มขึ้นและการรับคนไข้กลุ่มประกันสังคมที่จะเพิ่มฐานคนไข้ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หนุน Demand ของโครงการ Nakornthon Long Life Center ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2569

ทั้งนี้ ยังคงแนะนำ “ซื้อราคาเป้าหมาย 12.20 บาท เนื่องจากปัจจุบัน NKT เทรด Forward P/E ที่ 8.42 เท่า และ EV/EBITDA ที่ 4.23 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 34 เท่า และ 17 เท่า ตามลำดับ

OKJ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้คาดการณ์ยอดขายทั้งปี 2568 ที่ 2,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.5% จากปีก่อนหน้า จากจำนวนแบรนด์และสาขาที่เพิ่มขึ้นและคาดอัตรากำไรขั้นต้นที่ 46% เพิ่มจากสัดส่วนยอดขายของOh!Juice และ Joe Wing ที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย

ขณะที่กำไรสุทธิคาดการณ์จะอยู่ที่ 289 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.1% จากปีก่อนหน้า ตามยอดขาย,อัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลงจาก Economies of Scale ของจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ยังคงแนะนำ “ซื้อราคาเป้าหมาย 12 บาท

TMAN นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า คาดกำไรปี 2568 ที่ 480 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน แนวโน้มการเติบโตไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจผันผวนเนื่องจากรายได้มากกว่า 50% มาจากกลุ่มยารักษาโรค อีกทั้งระยะยาวยังได้ปัจจัยหนุนจากโครงสร้างประชากรปัจจุบันที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุมากขึ้นและประชาชนเข้าถึงสิทธิการรักษาระบบประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 17.90 บาท

ส่องพื้นฐาน-4-หุ้น.jpg