ตามที่นักลงทุนติดตามข่าวสารของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่อาจจะมีความคืบหน้าในแง่ของการไล่เจรจากับประเทศคู่ค้าต่างๆ ออกมาให้เห็นบ้างแล้ว แต่ในด้านของความชัดเจนกลับเป็นที่นักลงทุนและตลาดยังกังวลอยู่เช่นเดิม ซึ่งหากยังคงยืดเยื้อต่อไปจะเป็นเช่นไร
ในวันนี้ทางสำนักข่าว Share2Trade ก็มีมุมมองจากนักวิเคราะห์ต่อผลกระทบของบริษัทจดทะเบียนไทยมาฝากให้แก่นักลงทุนและผู้อ่านกัน
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ให้มุมมองว่า การประกาศระงับการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) ที่ประกาศใช้ในเดือนเมษายนเป็นเวลา 90 วัน รวมถึงข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหราชอาณาจักรที่ประกาศออกมา และการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดในระยะสั้น
ในขณะที่ข่าวล่าสุดเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในสามด้าน ได้แก่ 1. ข่าวดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวทางปฏิบัติที่รอบคอบและต้องการที่จะลดระดับความรุนแรงลง ซึ่งจะทำให้ส่วนชดเชยความเสี่ยงลดลง
2.ข่าวดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่อัตราภาษีที่มีผลบังคับใช้โดยเฉลี่ยจะต่ำกว่าที่เคยประกาศไว้ในวันปลดแอกสหรัฐฯ (Liberation day) ซึ่งจะส่งผลทำให้เศรษฐกิจโลกมีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้น
3.ข่าวดังกล่าวส่งผลทำให้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจากหลายๆ สำนัก
โดยสถานการณ์ตึงเครียดหลักๆ ยังไม่คลี่คลาย แม้ว่าจะมีการระงับการเรียกเก็บภาษีตอบโต้เป็นการชั่วคราว แต่การควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายากของจีนสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์เหนืออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ แม้แต่ตลาดเกิดใหม่ที่มุ่งเน้นปัจจัยภายในประเทศก็ยังได้รับผลกระทบเชิงลบเมื่อพิจารณาความเสี่ยงด้านการค้าและการบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน
ทั้งนี้ นโยบายการค้าจะยังคงเป็นความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่สำคัญในครึ่งหลังของปี 2568 การกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี ปัจจุบันมีมุมมองที่สมดุลต่อพันธบัตร สินเชื่อ และหุ้นในระยะเวลา 3 เดือนและ 12 เดือน โดยเน้นป้องกันความเสี่ยงผ่านการถือเงินสดมากขึ้นเพื่อรับมือกับการปรับฐาน ธีมที่ชื่นชอบคือ 1. มีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายของจีน 2. คุณภาพของกำไร 3. การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ และ 4. หุ้นเชิงรับ
อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างมากจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยืดเยื้อ สหรัฐฯ ได้ดำเนินการเรียกเก็บภาษีนำเข้าและจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีที่มุ่งเป้าไปที่ภาคยุทธศาสตร์ของจีน เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่จีนมีห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง
โดยมาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อขัดขวางการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วของจีน ความตึงเครียดทางการค้าและเทคโนโลยียังคงยากที่จะคลี่คลายลงได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่องในตลาดโลกและห่วงโซ่อุปทาน
ทั้งนี้ คาดว่าการเรียกเก็บภาษีจะยังคงดำเนินต่อไป จีนได้เพิ่มการตอบโต้ต่อสหรัฐฯ ในด้านเทคโนโลยี การค้า และการทหาร ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อพันธมิตรของจีนซึ่งรวมถึงประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในอาเซียน
และจากการวิเคราะห์พบว่า ความตึงเครียดทางการค้ามีผลกระทบต่อกำไรของบริษัทไทยโดยรวมค่อนข้างน้อย เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากตลาดในประเทศและตลาดเอเชีย กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีสัดส่วนรายได้จากตลาดสหรัฐฯ 20-30% อาจเผชิญกับสถานการณ์ที่กำไรลดลง 2-4% หากรายได้จากสหรัฐฯ ลดลง 10%
สำหรับกลุ่มท่องเที่ยวได้รับผลกระทบทางอ้อมผ่านจำนวนนักท่องเที่ยวและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ผลกระทบต่อกำไรยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 2% ความเสี่ยงที่มีจำกัดเป็นผลมาจากการที่บริษัทไทยพึ่งพาตลาดในภูมิภาคเป็นหลักมากกว่าตลาดสหรัฐฯ