Talk of The Town

เศรษฐกิจไม่โต หนี้ยังโชว์พุ่ง! รัฐอาจกู้ชดเชยขาดดุล 1.1 ล้านลบ.


11 มิถุนายน 2568

เศรษฐกิจไม่โต_S2T (เว็บ) copy.jpg

ภาวะขาดดุลการคลังที่ลุกลาม นักวิเคราะห์คาด รัฐบาลไทยอาจกู้เพื่อชดเชยขาดดุลสูงขึ้นราว 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา  ทำให้อนาคตงบประมาณจะถูกจัดสรรเพื่อชำระดอกเบี้ยและหนี้เงินกู้เพิ่มมากขึ้น 

ส่วนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 พบว่ารัฐฯควบคุมลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการภาครัฐลดลง และมีการจัดสรรงบประมาณด้านการเศรษฐกิจลดลง 13.8% ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายมิติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจต้องการแรงกระตุ้นจากภาครัฐ 

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 68 รัฐฯอาจต้องกู้มากขึ้น เพื่อชดเชยขาดดุล โดยจากคาดการณ์การขาดดุลของไทยต่องบประมาณปี 68 ที่สูง ทำให้การกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล

อาจสูงขึ้นราว 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาในกรอบ 5-7 ล้านล้านบาท ทำให้อนาคตงบประมาณจะถูกจัดสรรเพื่อชำระดอกเบี้ยและหนี้เงินกู้เพิ่มมากขึ้น 

โดยร่างงบประมาณปี 2569 มีปรับเพดานงบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระคืนเงินต้น 5% ต่องบประมาณรายจ่าย สูงขึ้นจาก 3.4% และ 4.0% ในปี 67 และ 68 ตามลำดับ 

การก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเพื่อเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสงครามทางการค้าโลก ซึ่งอาจทำให้ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อระดับความน่าเชื่อถือของประเทศในอนาคต และระดับหนี้อาจแตะระดับเพดาน 70% หลังปี 72 

อีกทั้งหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูงยังคงขัดขวางการเร่งตัวของเศรษฐกิจ โดย ธปท. คาดการ GDP ปี 68 และ 69 ลดลงต่อเนื่อง ปัจจุบัน Moody's อันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศได้ปรับลดมุมมองของประเทศไทยจาก “มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ” แต่ยังคงอันดับ Baa1 ไว้

สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ 2569 พบว่า รัฐฯ ควบคุมลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการภาครัฐลดลง และมีการจัดสรรงบประมาณด้านการเศรษฐกิจลดลง 13.8% ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายมิติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจต้องการแรงกระตุ้นจากภาครัฐ 

ส่วนงบประมาณโครงสร้างพื้นฐานคาดว่าจะได้เห็นแผนงานแบบ PPP เข้ามามากขึ้น เพื่อใช้ทุนของ เอกชนในการพัฒนาเศรษฐกิจ และโครงการหลักๆยังที่จำเป็น อย่างด้านระบบโลจิสติกส์ เช่น มอเตอร์ เวย์ M5 และ M9, สะพานข้ามทะเลสาปสงขลาและเกาะลันตา, โครงการรถไฟฟ้า เป็นต้น 

ด้านการ ท่องเที่ยว เช่น สุวรรณภูมิส่วนขยาย เมืองการบินอู่ตะเภา และด้านความมั่นคงทางอาหารเพิ่มผลผลิต ทางการเกษตรในการผลักดันการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เช่น โครงการชลประทาน เป็นต้น 

ปัจจุบันโครงการที่ ครม. อนุมัติแล้ว 4 โครงการ 1.รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีแดงเข้ม รังสิต-TU 2. รถไฟความเร็วสูง เฟส 2 โคราช-หนองคาย 3.มอเตอร์เวย์ M5 และ M9 คาดประมูลได้ภายในปีนี้ 

ขณะที่แนวโน้มคาดว่าน่าจะยังเห็นโครงการออกมาเพิ่มเติมจากการโยกงบประมาณจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมาในส่วนของคมนาคม เพื่อให้ทันต่องบประมาณปี 2568 และการเร่งจัดสรรงบประมาณปี 2569 ให้ทัน งบประมาณใหม่ (1 ต.ค. 68) มีหลายปัจจัยบวกตามมาอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาหุ้นอุตสาหกรรมเหมาก่อสร้างอาจปรับตัวแตกต่าง กันไปตามปัจจัยเฉพาะของบริษัทฯ โดยอุตสาหกรรมเหมาก่อสร้างในช่วงนี้ ให้น้ำหนัก “ลงทุนมากกว่าตลาด”

วิเคราะห์หุ้นรับเหมาก่อสร้าง

สำหรับการประเมินหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง มีมุมมองเชิงลบต่อ CK เล็กน้อย แม้ปีนี้จะมีการรับรู้รายได้โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มฯที่เร่งตัวขึ้น (CK ถือ BEM 39%) แต่จะโดนตัดรายการระหว่างกันในส่วนแบ่งกำไรของ BEM ซึ่ง ประมาณอย่างคร่าว 2.5-3.0%ของรายได้จากโครงการฯ ปีนี้ 

CK ตั้งเป้ารับรู้รายได้งานโยธาฯ 10-15% งาน M&E 23% รวมแล้วราว 1.3 หมื่นล้านบาท หากคำนวณอย่างคร่าวโดนตัดรายการระหว่างกันราว 400 ล้านบาท (หรือไตรมาสละ 100 ล้านบาท) จะทำให้ปีนี้ CK จะรับรู้ส่วนแบ่งจาก BEM ลดลง และ CK เข้าเกณฑ์ OECD ทำให้อัตราภาษีมีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 68 โดยบริษัทอยู่ระหว่างประเมินผลกระทบ 

ทั้งนี้เบื้องต้น ระยะสั้นมองแนวโน้มไตรมาส 2/68 กำไรอ่อนตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน โดยได้รับปันผลจาก TTW ส่วนภาพรวมทั้งปี 68 ยังมองกำไรเติบโตจากปีก่อน จุดสำคัญอยู่ในช่วงไตรมาส 4/67 มีผลขาดทุน ด้วยความกังวลใน 2 ปัจจัยดังกล่าว ทำให้ราคาหุ้นยังถูกกดดันอยู่ในช่วงนี้

โดยฝ่ายวิจัยชอบ STECON ภาพงานก่อสร้างเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ โดยไตรมาส 2/68 รับรู้งาน Bangkok mall ส่วนครึ่งหลังของปี 68 รับรู้งานสาธารณูปโภค งานอาคาร และงานก่อสร้างศูนย์ Data center 

ทั้งนี้เบื้องต้นแนวโน้มไตรมาส 2/68 กำไรสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจาก ไตรมาส 1/68 ได้ปันผลจาก GULF ส่วนภาพรวมปี 68 กลับมา มีกำไร จากปีก่อนที่มีผลขาดทุน และยังมี upside จากการเปลี่ยนรถไฟฟ้าทั้ง 2 สาย ที่ปัจจุบันเป็น ส่วนแบ่งขาดทุนอยู่ราว 600 ล้านบาท/ปี ออกไปยังเงินลงทุนระยะยาว และรอรับเงินประกันซ่อมอุโมงค์บึงหนองบอนฯ บริษัทยังไม่เปิดเผยมูลค่า 

ส่วนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย รูปแบบรัฐจะดำเนินการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม อยู่ระหว่างแก้ไข พรบ. เพื่อนำเงินไปชดเชยส่วนต่างรายได้ให้แก่ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายต่างๆ คาดสามารถประกาศใช้ได้ภายในเดือน ก.ย.68 

โดยมองเป็น ประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจรถไฟฟ้า ซึ่ง STECON ร่วมบริหารรถไฟฟ้า 2 สาย (เหลือง, ชมพู) ทำให้ปีนี้ภาพกลับมามีทิศทางที่ดีขึ้น ปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวขึ้นยืนรอ up side ใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้ามา โดยให้ราคาพื้นฐาน 8.25 บาท ปรับลดคำแนะนำเป็น “ทยอยซื้อ”

เศรษฐกิจไม่โต_S2T (เพจ) copy.jpg