รายงานพิเศษ : CCET หุ้นเด่นในใจนักวิเคราะห์ คำสั่งซื้อปี 68 ยังคงแข็งแกร่ง หนุนกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง
บล.เมย์แบงก์ ออกบทวิเคราะห์ บมจ.แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (CCET) โดยระบุว่า ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ได้ปรับลดราคาเป้าหมายลงเล็กน้อยเหลือ 9.00 บาท (จากเดิม 9.20 บาท) พร้อมปรับลดประมาณการกำไรหลักปี68 และ69 ลง 3% และ 4% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน รวมถึงความเสี่ยงจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในไตรมาส 2/68
อย่างไรก็ตาม CCET ยังเป็นหุ้นเด่นของเราสำหรับกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในไทย เนื่องจากคาดว่าจะมีกำไรหลักเติบโต 4% ในปี 68 และ 31% ในปี 69
ทั้งนี้บริษัทใกล้ถึงจุดที่ปัจจัยกระตุ้นการเติบโตจะเริ่มส่งผล โดยกำลังจะเริ่มผลิตให้กับลูกค้ารายใหม่ในกลุ่มเครื่องพิมพ์เลเซอร์ 2 ราย (รายแรกเริ่มผลิตในครึ่งปีแรก และอีกรายในครึ่งปีหลังของปี 68) ซึ่งหากเดินสายการผลิตเต็มที่จะสร้างอัพไซด์ต่อรายได้ปี 67 ได้ถึง 20–25% แม้จะมีความไม่แน่นอนจากภาษีนำเข้า แต่คำสั่งซื้อคงค้างของ CCET ในปี 68 ยังคงแข็งแกร่ง
โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องพิมพ์และผลิตภัณฑ์ HDD/SSD ขณะที่ในปี 69 บริษัทเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตจากธุรกิจใหม่ที่มีอัตรากำไรสูงกว่า เช่น สินค้าในกลุ่ม EV charging และสมาร์ตวอทช์ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ P/E ปี 68 อยู่ที่ 17.9 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3 ปีที่ -0.5SD) ซึ่งถือว่า มีความน่าสนใจในแง่ของมูลค่า
CCET ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของ EPS ในปี 68 โดยได้รับแรงหนุนจากการเริ่มผลิตให้กับลูกค้าเครื่องพิมพ์เลเซอร์รายใหม่ รวมถึงความพยายามลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้บริหารได้อธิบายว่ายอดขายที่ต่ำในเดือนเมษายน 68 เกิดจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่สูงกว่าคาด ทำให้การส่งมอบล่าช้า
อย่างไรก็ตาม คำสั่งซื้อนี้ จะถูกส่งมอบภายในเดือน พฤษภาคม/มิถุนายน นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการปรับปรุงมาตรฐาน ESG เพื่อรองรับ คำถามจากกองทุนที่มีข้อกังวลว่า ESG ที่ยังต่ำอาจเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน โดย CCE ก าลังพยายามให้ได้คะแนน CG Score จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสนใจที่ยังมีอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนสถาบัน
แม้ว่าจะมีลูกค้าบางรายสอบถามถึงกำลังการผลิตที่โรงงานในฟิลิปปินส์ เนื่องจากประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกเก็บภาษีตอบโต้สูงถึง 36% เทียบกับฟิลิปปินส์ที่ 17% แต่ CCET ถือหุ้นในโรงงานที่ฟิลิปปินส์เพียง 19% (ส่วนที่เหลือ 81% ถือโดยบริษัทแม่ Kinpo) ดังนั้นการย้ายการผลิตจึงไม่เป็นผลดีต่อ CCET อย่างไรก็ตาม เรามองว่าความเสี่ยงนี้ยังจำกัด เนื่องจาก
1) สินค้าที่สามารถย้ายการผลิตได้บางส่วนสามารถย้ายไปยังโรงงานใหม่ของ CCET ในบราซิลได้ (ซึ่ง CCET ถือหุ้น 100%) โดยที่บราซิลมีภาษีนำเข้าต่ำเพียง 10%
2) มีเพียงประมาณ 30% ของสายการผลิตเท่านั้นที่สามารถย้ายได้
3) กำลังการผลิตในฟิลิปปินส์เต็มอยู่แล้ว ซึ่งช่วยให้ไทยมีเวลาในการเจรจาเพื่อลดช่องว่างของอัตราภาษีนำเข้า
ด้านผู้บริหารบริษัท นายคงสิทธิ์ โจวกิจเจริญ กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วย คุณ Laura Luo ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการเงินและการบัญชีและ คุณ Jenny Chou ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ ได้จัดกิจกรรม Analyst Meeting ได้ให้ข้อมูลการจัดตั้งโรงงานที่จังหวัดสมุทรสาครและเพชรบุรีและโรงงานแห่งใหม่ในเมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการทดสอบระบบ (Test Run) เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตในระดับอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ ยังคงติดตามความเคลื่อนไหวด้านนโยบายศุลกากรในระดับโลกอย่างใกล้ชิด และมีการสื่อสารกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับกลยุทธ์และแผนการผลิตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละภูมิภาค