Wealth Sharing

จำลองสถานการณ์ มาตรการภาษี “ทรัมป์” นักลงทุนรอลุ้นคำพิพากษาชี้ชะตาโลก


04 มิถุนายน 2568

ประเด็นที่นักลงทุนทั่วโลกติดตามข่าวสารและเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด ก็คงไม่พ้นเรื่องของมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ หลังจากที่ศาลการค้าระหว่างประเทศทได้สั่งให้ยกเลิกภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของประธานาธิบดี ทรัมป์ แต่ล่าสุดศาลอุทธรณ์ได้ “รับคำร้อง” ของรัฐบาลทรัมป์ และมีคำสั่งระงับคำสั่งศาลการค้าฯ ชั่วคราว ทำให้สามารถเรียกเก็บ TARIFF ต่อไป ในระหว่างที่ศาลกำลังพิจารณา

จำลองสถานการณ์_WS (เว็บ).jpg

โดยจากความแน่นอนของประเด็นดังกล่าว ก็เชื่อว่ามีนักลงทุนอีกน้อยเลือกวิธีการที่จะรับมือกับสถานการณ์นี้เช่นไร ในวันนี้ทางสำนักข่าว Share2Trade จึงได้ทำการหยิบยกมุมมองจากนักวิเคราะห์ พร้อมกับจำลองสถานการณ์และกลยุทธ์ในการลงทุนมาเสนอกันในครั้งนี้

เริ่มที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้มุมมองว่าวานนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการพิจารณาคำ ตัดสินของศาลการค้าสหรัฐฯ (US TRADE COURT) ในการระงับเก็บภาษีส่วนใหญ่ ที่ขัดต่อกฎหมาย IEEPA ได้แก่ ภาษี พื้นฐานทั่วโลก (WORLDWIDE TARIFF) 10%, ภาษีศุลกากรตอบโต้ รายประเทศ, ภาษีแคนาดา – เม็กซิโก 25%, ภาษีจีน 20% (FENTANYL) หลังรัฐบาลทรัมป์ได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินในทันที

ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐระบุว่า คำตัดสินของศาลการค้าฯ ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการทางการทูตของ รัฐบาล และแทรกแซงอำนาจเฉพาะตัวของ ปธน. ทรัมป์ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ขณะที่ส่าสุดศาลอุทธรณ์ได้ “รับคำร้อง” ของรัฐบาลทรัมป์ และมีคำสั่งระงับคำสั่งศาลการค้าฯ ชั่วคราว

โดยทำให้รัฐบาลทรัมป์สามารถเรียกเก็บ TARIFF ต่อไป ในระหว่างที่ศาลกำลังพิจารณาคดี กำหนดการถัดไป ศาลอุทธรณ์ได้ศาลการค้าฯ - รัฐบาลทรัมป์ รีบส่งเอกสารด่วน ภายในวันที่ 9 มิ.ย. 68 เพื่อ พิจารณาคำร้องขอระงับคำตัดสินเดิมอย่างถาวร และรอคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ซึ่งคาดว่าจะกินเวลาไปอีกระยะหนึ่งและอาจเห็นอาการ OVERHANG

กรณีศาลอุทธรณ์ตัดสิน “ระงับคำสั่งศาลค้าฯ ถาวร”จะทำให้รัฐบาลทรัมป์เรียกเก็บ TARIFF ได้ต่อไป และกรณีศาลอุทธรณ์ตัดสิน “ยกเลิก” ระงับคำสั่งศาลค้าฯ” จะทำให้รัฐบาลทรัมป์ “ไม่” สามารถเรียกเก็บ TARIFF ต่อไป พร้อมกับคืนภาษีที่เรียกเก็บไปก่อนหน้า และอาจนำไปสู่การยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาได้

ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองต่อกรณีศาลอุทธรณ์สหรัฐสั่งชะลอคำสั่งศาลล่าง และจะพิจารณาภายในวันที่ 9 มิ.ย. อีกครั้ง จึงวิเคราะห์ได้ว่า นโยบายภาษีของ Trump ยังมีความไม่แน่นอนสูงมาก ซึ่งฝ่ายรัฐบาลมีความเป็นไปได้ 3 ทาง ดังนี้

1. มีโอกาสยื่นให้ศาลสูงสุดติดสิน โดยถ้าเป็นกรณีนั้นมีโอกาสที่ภาษีจะถูกกลับมาเก็บตามแผนเดิมอีกครั้ง

2. ปรับใช้มาตรา 232, 301 ปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณ Reciprocal Tariff

3.ภาษีการค้าถูกบล็อกและยกเลิกจริง

ในระหว่างที่ยังมีความไม่แน่นอน ประเมินกรอบ SET ที่ 1,145-1,275 จุด โดยถ้าออกในกรณีที่ 2-3 คาดว่า SET มีโอกาสปรับขึ้นกรอบบน โดยกลุ่มนิคม, ส่งออกอาหาร, ปิโตรเคมี มีโอกาสกลับมาOutperform (AMATA, ITC, PTTGC) อย่างไรก็ตามหากเข้าข่ายกรณีที่ 1. คาดว่า SET กลับมาซื้อขายในกรอบที่ 1,145 จุด

สุดท้ายนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า มองการยกเลิกมาตรการภาษี จะช่วยลดผลกระทบของเศรษฐกิจโลก และแรงกดดันต่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ ลง เพิ่มโอกาสธนาคารกลางสหรัฐฯลดดอกเบี้ย รวมถึงหากเปลี่ยนไปใช้กฎหมายอื่นในการขึ้นภาษีนําเข้ากับประเทศคู่ค้าทั่วโลก มองว่าเป็นไปได้ลําบากและอาจต้องใช้เวลาหลายเดือน

โดยในระหว่างนี้น่าจะช่วยให้ตลาดคลายความกังวลและฟื้นตัวได้ระยะสั้น นอกจากนี้หากอิงกับมาตรา 301 และ 232 ที่สหรัฐฯ เคยใช้นั้น ไม่สามารถบังคับใช้ได้กับทุกประเทศ และหากดูสินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม จําพวกชิ้นส่วนอุปกรณ์ ส่วนประกอบและไม่ได้มีเทคโนโลยีขั้นสูงมากนักที่จะเข้าข่าย 2 มาตราดังกล่าว คาดว่าไทยมีโอกาส “รอด” จากการถูกเก็บภาษีนําเข้าในอัตราสูง และผลกระทบที่ลดลง น่าจะเห็นการปรับ GDP ขึ้น

หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการยกเลิก Reciprocal Tariff หุ้นกลุ่มส่งออก-อิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและปรับตัวลงแรงหลังจากประกาศ Reciprocal Tariff แต่มุมมองทางพื้นฐานอาจไม่ได้ดีมากนัก แนะนํา “เก็งกําไร” DELTA, HANA, ITC, TU, PTTGC, IVL, TOP, PTTEP

และหุ้นนิคมฯ-หุ้นที่ได้ผลบวกจากดอกเบี้ยขาลง-Domestic Play ที่ราคาปรับลดลงมาก พื้นฐานยังแข็งแรง แนะนํา “ซื้อ” AMATA, WHA, CPALL, CPAXT, MTC, TIDLOR

จำลองสถานการณ์1.jpg