กระดานข่าว

บล.เกียรตินาคินภัทรผนึก Bank of America Securities และตลท. ร่วมโรดโชว์ในงาน SET Singapore Roadshow 2025


30 พฤษภาคม 2568
kkp โรดโชว์.jpg

บล.เกียรตินาคินภัทร ผนึกกำลัง Bank of America Securities และตลาดหลักทรัพย์ฯ โชว์ศักยภาพเศรษฐกิจ ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ในงาน SET Singapore Roadshow 2025
 
งานโรดโชว์ในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐ ได้แก่ นายศึกษิษฎ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายพลช หุตะเจริญ ผู้อำนวยการกองพัฒนาตลาดตราสารหนี้ และรักษาการที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง ร่วมเสวนาบนเวทีในหัวข้อ "Reviving the Investment Engine" เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ของรัฐบาลไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและส่งเสริมการลงทุนผ่านโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการปฏิรูปนโยบายสำคัญ อาทิ การขยายเส้นทางรถไฟเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 การขยายสนามบินอู่ตะเภา และโครงการแลนด์บริดจ์ที่เชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว เช่น การออกกฎหมายรองรับ Entertainment Complex การจัดงานระดับโลก (F1 และคอนเสิร์ตระดับนานาชาติ) และการลงทุน 1-1.5 หมื่นล้านบาทในโครงการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว พร้อมทั้งมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 157,000 ล้านบาทที่เน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในชนบท สนับสนุน SME และการส่งออก ในด้านวินัยการคลัง รัฐบาลยังคงมีความระมัดระวังในการลงทุนภายใต้เพดานหนี้สาธารณะปัจจุบันที่ไม่เกิน 70% ต่อ GDP พร้อมเปิดรับแหล่งเงินทุนใหม่ผ่านการออก “G Token” บนเทคโนโลยีบล็อกเชน ในขณะเดียวกันรัฐบาลเตรียมเดินหน้าปฏิรูประบบการลงทุนจากต่างประเทศและนโยบายการออกวีซ่า การเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป รวมถึงการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI และแผนปฏิรูประบบภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐ

ด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ได้นำเสนอวิสัยทัศน์และแสดงศักยภาพของตลาดทุนไทยภายใต้ความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจ โดยระบุว่า แม้สภาวะตลาดโลกจะเผชิญแรงกดดันจากเงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจการค้า และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลาดทุนไทยยังคงเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติในฐานะแหล่งลงทุนที่มั่นคงและปลอดภัย

เพื่อสะท้อนภาพรวมศักยภาพของภาคธุรกิจไทยภายใต้บริบทเศรษฐกิจดังกล่าว บริษัทจดทะเบียนชั้นนำของไทยจำนวน 7 บริษัท ได้แก่ KKP, CPN, BBL, MINT, TRUE, TTB และ WHA ได้เข้าร่วมนำเสนอทิศทางธุรกิจ กลยุทธ์การเติบโต และการปรับตัวต่อสภาวะตลาด โดยมีสาระสำคัญของแต่ละบริษัทดังนี้

KKP มุ่งสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ผ่านการปล่อยสินเชื่อคุณภาพสูง ขยายรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย และนวัตกรรมดิจิทัล แม้ว่าจะเผชิญความท้าทายในกลุ่มยานยนต์ KKP จะรักษามาตรฐานการปล่อยสินเชื่อ พร้อมผลักดันธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง พัฒนาเทคโนโลยี และขยายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าระยะยาว

CPN รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกแข็งแกร่ง โดยรายได้ค่าเช่า (same-store rental revenue) เพิ่มขึ้นราว 8% และอัตราการเช่าเพิ่มขึ้นแม้อยู่ในช่วงปรับปรุงโครงการใหม่สำคัญ ได้แก่ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (ส.ค. 2568), เซ็นทรัล กระบี่ (ต.ค. 2568) และอีก 4 โครงการในปี 2569 พร้อมเป้าหมายขยายพื้นที่เช่าอีก 100,000 ตร.ม./ปี

BBL มีความระมัดระวังต่อภาพเศรษฐกิจ แต่ยังคงมุมมองเชิงบวกแม้เผชิญความเสี่ยงจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ นักท่องเที่ยวจีนชะลอตัว และปัญหาภาคการส่งออกชะลอตัว โดยคาดว่าสินเชื่อจะเติบโต 3–5% จากสินเชื่อภาคธุรกิจ ขณะที่ NIM จะลดลงเล็กน้อยเป็น 2.8-2.9% จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง BBL มุ่งควบคุมต้นทุนและทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อบริหารความเสี่ยงของสินเชื่อในกลุ่มเปราะบาง

MINT มองบวกอย่างระมัดระวัง คาดว่า RevPAR จะเติบโตทั่วทุกภูมิภาคในปี 2568 จากดีมานด์ที่แข็งแกร่งและมูลค่าแบรนด์ที่ปรับตัวดีขึ้น บริษัทตั้งเป้าลดหนี้ในครึ่งหลังของปี โดยยังคงเป้าหมายรายได้เติบโตเลขหลักเดียวระดับสูง และกำไรโต 15–20%

TRUE พลิกกลับมาทำกำไรในปีนี้หลังการควบรวมกิจการ เน้นการสร้างมูลค่าผ่านการผนึกกำลังร่วมกัน (synergy) การควบคุมต้นทุน และการลงทุนใน AI ตั้งเป้ารายได้บริการ (ไม่รวม IC และ Roaming) โต 2–3% และ EBITDA (Earnings Before Interest Taxes Depreciation Amortization) โต 8–10% พร้อมลงทุน 2.8–3 หมื่นล้านบาท และจ่ายปันผลมากกว่า 50% ของกำไร

TTB เน้นสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้นระยะยาวผ่านการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอที่ 60% (6.5% dividend yield) และแผนซื้อหุ้นคืนในระยะกลาง

WHA มีความมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจ แม้เผชิญความไม่แน่นอนด้านการค้าระหว่างประเทศ พร้อมชูความคล่องตัวในการปรับตัวต่อสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง

งานนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันในสิงคโปร์ โดยมีผู้เข้าร่วมจากกองทุนชั้นนำกว่า 20 แห่ง ภายในงานนักลงทุนยังได้ร่วมแสดงความคิดเห็นโดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของโครงการ Jump+ (value-up initiatives) เพื่อเพิ่มผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นผ่านการจ่ายปันผลและการซื้อหุ้นคืน รวมถึงเรียกร้องให้มีการปรับปรุงสภาพคล่องของตลาด (market liquidity) และมาตรการกำกับ short-selling ให้มีความโปร่งใสและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนตลอดจนส่งเสริมการไหลกลับของเงินทุนต่างชาติในระยะยาว ท่ามกลางสถานการณ์ที่นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์