นักลงทุนสายเน้นคุณค่า หรือที่หลายคนเรียกสั้นๆว่านักลงทุน VI มักจะมีนักลงทุนทั่วไปไม่น้อยเลือกที่ใช้ความสำเร็จหรือแนวทางมาใช้ในการประกอบการตัดสินใจลงทุน ซึ่ง “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” ก็เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ถูกนักลงทุนหลายยกย่องแนวทางการลงทุนมาประยุกต์การลงทุนในพอร์ตส่วนตัว
ดังนั้น ในวันนี้ทางสำนักข่าว Share2Trade จึงได้ทำการหยิบยกมุมมองการลงทุนที่น่าสนใจมาฝากให้แก่ผู้อ่านและนักลงทุน เพื่อเป็นเครื่องมือหรือตัวช่วยให้แก่นักลงทุนที่ยังคงมองหาโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นไทย พร้อมกับเพื่อรับมือในช่วงที่ภาวะตลาดที่ซบเซาในช่วงนี้
โดยบทความที่เราจะหยิบยกมาพูดถึงในครั้งนี้ ก็คือ “สูตร” การลงทุนหุ้นที่จะ “เอาตัวรอด” ได้ในสถานการณ์แบบนี้ของตลาดหุ้นไทยอย่าง “สูตรหุ้นรอด 5-5-5-5” ซึ่งจะสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้อย่างน้อยปีละ 5% แบบทบต้นในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า โดยที่มีความเสี่ยงต่ำ และแม้ว่าตลาดหุ้นโดยรวมจะไม่ดีในอีกหลายปีข้างหน้า พอร์ตหุ้นนี้ก็จะสามารถทนทานกับภาวะเลวร้ายได้
เริ่มกันที่ หมายเลข 5 ตัวแรกคือการเลือกหุ้นที่ปัจจุบันจ่ายปันผลตอบแทนอย่างน้อย 5% ต่อปีขึ้นไป ซึ่งเวลานี้ก็มีหุ้นแบบนี้อยู่จำนวนไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ควรจะดูว่าเป็นการจ่ายปันผล “ปกติ” คือเป็นการจ่ายจาก “กำไรปกติ” จากการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา จะจ่ายปันผล 100% ของกำไรก็ได้ เพราะในกลยุทธ์การเลือกหุ้นของเรานั้น จะเน้นหุ้นที่มั่นคงแข็งแกร่ง มีเงินสดเหลือเฟือที่จะรับกับสถานการณ์เลวร้ายทางเศรษฐกิจได้
ต่อมาเลข 5 ตัวที่สองก็คือ หุ้นที่เลือกนั้น ต้องคาดการณ์และมั่นใจว่า อีก 5 ปีข้างหน้า ปันผลที่จะได้รับนั้น ก็ยังไม่น้อยกว่า 5% ซึ่งถ้าหุ้นตัวนั้นจ่ายปันผลตอบแทน 5% ต่อปีในวันนี้ ปันผลในอีก 5 ปีข้างหน้า เชื่อมั่นว่าจะไม่ลดลง ยังคงจ่ายได้อย่างน้อยเท่าเดิมในวันนี้ อาจจะเพราะว่าหุ้นอยู่ในธุรกิจที่ยังไปได้เรื่อย ๆ และแม้ว่าอาจจะไม่โตแต่ก็ไม่ลดลง และบริษัทก็ยังน่าจะรักษาสถานะในการแข่งขันและทำผลกำไรได้เหมือนเดิม ตัวอย่างง่าย ๆ ก็เช่นในธุรกิจธนาคารที่อาจจะอิ่มตัวและการแข่งขันก็ไม่รุนแรง และธนาคารส่วนใหญ่ก็มีการบริหารงานที่ดีในการลดความเสี่ยงของธุรกิจ เป็นต้น
ถ้าหุ้นตัวนั้นจ่ายปันผลมากกว่า 5% ในวันนี้ เช่น จ่าย 6-8% และเราเชื่อมั่นว่า ในอีก 5 ปี ข้างหน้า แม้ว่าธุรกิจจะตกลงมาบ้าง กำไรก็อาจจะถดถอยลงบ้าง แต่ยังไงเขาก็ยังรักษาระดับการจ่ายปันผลที่ทำให้เราได้รับปันผลตอบแทนจากราคาหุ้นในวันนี้ไม่น้อยกว่า 5% ต่อปี หุ้นตัวนี้ก็ยังเข้าข่ายที่เราจะเลือกซื้อหรือเก็บไว้ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระวังก็คือ แทนที่ปันผลจะลดลงเล็กน้อยในช่วง 5 ปี มันอาจจะลดลงมากจนทำให้หุ้นหมดสภาพที่จะจ่ายปันผลได้ดีแล้ว หายนะก็อาจจะเกิดขึ้นได้ ในกรณีแบบนี้ การดูสถิติการจ่ายปันผลย้อนหลังไปหลายปีจะช่วยให้เราวิเคราะห์ได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ อาจจะถือว่าเป็นข้อยกเว้น ก็คือ ในกรณีที่ปัจจุบันหุ้นจ่ายปันผลน้อยกว่า 5% ต่อปี เช่น อาจจะ 2-3% ต่อปี แต่เป็นการจ่ายปันผลที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ และมั่นใจว่าภายใน 5 ปี ปันผลที่จ่ายจะคิดเป็นไม่น้อยกว่า 5% จากราคาหุ้นในวันนี้ อาจจะเพราะธุรกิจของบริษัทแข็งแกร่งและมั่นคงมาก ผลประกอบการของบริษัทยังเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่น่าจะมีอุปสรรคอะไรมาขวาง แบบนี้ก็ถือว่าเป็นหุ้นที่เข้าข่ายจะเป็น “หุ้นรอด” ได้แม้ว่าวันนี้อาจจะยังไม่ใช่ “หุ้นปันผล”
เลข 5 ตัวที่สามคือจำนวนของหุ้นใน “พอร์ตหุ้นรอด” ซึ่งจะเป็นหุ้นปันผลอย่างน้อย 5 ตัวที่เลือก จะต้องเป็นหุ้นที่มาจากอุตสาหกรรมหลากหลายอย่างน้อย 5 อุตสาหกรรมเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง ในกรณีที่บางอุตสาหกรรมอาจจะประสบกับปัญหารุนแรงในช่วง 5 ปีข้างหน้า
เลข 5 ตัวสุดท้ายก็คือ จะต้องตั้งเป้าหมายว่าพอร์ตนี้จะต้องถือต่อไปซัก 5 ปี ถึงจะเห็นผลชัดเจน ในระหว่างนั้นก็คงจะพบว่าหุ้นบางตัวอาจจะดีเกินคาด บางตัวก็ตามคาด และบางตัวก็จะต่ำกว่าคาด แต่ถ้าโดยรวมแล้วผลตอบแทนซึ่งแน่นอนว่าต้องรวมปันผลที่ได้รับ ได้ถึง “เป้า” คืออย่างน้อย 5% ต่อปี ก็แสดงว่ากลยุทธ์นั้น ใช้ได้ อาจจะไม่ต้องปรับอะไร
แต่ถ้าผลตอบแทนบางปีต่ำกว่าที่คาด ก็ต้องประเมินว่าเกิดจากอะไร บางทีอาจจะเป็นสถานการณ์ชั่วคราว ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงหรืออาจจะเป็นเรื่องที่เลือกหุ้นผิด คือปันผลของหุ้นบางตัวลดลงมากและถาวร ก็ต้องปรับพอร์ตตามสถานการณ์