Wealth Sharing

ถึงเวลาเก็บ 5 หุ้น China play เมื่อจีนกระตุ้นเศรษฐกิจเข้มข้น


08 พฤษภาคม 2568

ประเทศจีนถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่บริษัทจดทะเบียนไทยมีการส่งออกสินค้าไปค้าขาย แต่ด้วยปัจจัยเศรษฐกิจของจีนเชิงลบก็ได้ส่งผลต่อความต้องการสินค้านำเข้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ท่าทีล่าสุดของจีนก็ได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะมีผลต่อบจ.ไทยมากน้อยเพียงใด ไปรับชมมุมมองจากนักวิเคราะห์กัน

ถึงเวลาเก็บ 5 หุ้น China play_WS (เว็บ) copy.jpg

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองถึงประเด็นธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 7-วัน Reverse Repo ลง 0.10% จาก 1.50% เป็น 1.40% และลดอัตราส่วนเงินฝากสำรองขั้นต่ำของธนาคาร (Reserve Required Rate) 0.50% จากระดับเฉลี่ยที่ 6.60% เป็น 6.10%

โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ PBOC ครั้งนี้ถือเป็นการปรับลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ เดือน ก.ย. 2567 และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางการจีนครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ทางการจีนมีการประกาศมุ่งมั่นที่จะให้เศรษฐกิจเติบโตได้ 5.0% ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจนถึงต้นปีนี้ที่มีการประชุมใหญ่สภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติของจีน

ทั้งนี้ มองกลุ่ม China play และกลุ่มส่งออกได้อานิสงส์ sentiment บวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน เช่น กลุ่ม PETRO (IVL PTTGC), CONM (SCC TASCO) และ PACK (SCGP) รวมถึงกระแสข่าวบวกที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อต เบสเซนท์ และ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เจมีสัน เกรียร์ เตรียมพบกับ เจ้าหน้าที่เศรษฐกิจระดับสูงของจีน ภายในสัปดาห์นี้ที่สวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็น ก้าวแรกในการเจรจาเกี่ยวกับนโยบายภาษีระหว่างสหรัฐกับจีน

สำหรับปัจจัยพื้นฐานรายตัว IVL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนํา “ถือ” ราคาเป้าหมาย 24.50 บาท  เพราะกําไรจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2568 ได้แรงหนุนจากไม่มีผลขาดทุนจากการด้อยค่าเหมือนกับในปี 2567 และประหยัดต้นทุนคงที่ได้เพิ่มขึ้นเป็น 140-150 ล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2568 

PTTGC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 28 บาท เนื่องจากระดับการซื้อขายที่ P/BV 0.3 เท่า ต่ำที่สุดในกลุ่มปิโตรเคมี ในขณะที่ EBITDA เป็นบวกและฟื้นตัวเด่นกว่ากลุ่ม น่าจะสะท้อนความกังวลด้อยค่าฯและผลกระทบสงครามการค้าไประดับหนึ่งแล้ว

รวมไปถึง เป็นหนึ่งในผู้ผลิตปิโตรเคมีที่ฟื้นตัวในระยะยาว หลังผ่านช่วงซัพพลายล้นตลาดจากกำลังการผลิตใหม่จีนที่เข้ามามากสุดในช่วง 2565-67โดยในสภาวะที่ PE spread อยู่ในระดับต่ำ EBITDA สายโอเลฟินส์ยังเป็นบวกต่อเนื่องสะท้อนความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน 

SCC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 180 บาท โดยระยะสั้นคาดหุ้นตอบรับเชิงบวกจากงบไตรมาส 1/68 ดีกว่าคาด และทิศทางไตรมาส 2/68 ที่เร่งตัวขึ้น และ Sentiment บวกจากโอกาสได้เม็ดเงินกองทุน TESGX

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/68 เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า  ตามจากทิศทางส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทยอยฟื้นตัวหลังต้นทุนวัตถุดิบลดลงตามราคาน้ำมัน, รายได้เงินปันผลรับเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล, รับรู้อานิสงส์ราคาขายปูนซีเมนต์สูงขึ้นจากการปรับลดส่วนลดทางการตลาดตั้งแต่เดือนมี.ค. ทำให้คงกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 7,414 ล้านบาท

TASCO นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว ราคาเป้าหมาย 18 บาท อย่างไรก็ตามระยะสั้นมีโอกาสถูกกดดันจากแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/68 ที่ไม่เด่นและการปรับลดประมาณการของตลาด คาดกำไรปกติปี 2568 ที่ 2,054 ล้านบาท ในเชิงกลยุทธ์ อาจพิจารณาเข้าลงทุนหลังประกาศงบไตรมาส 1/68

ทั้งนี้ เบื้องต้นคาดกำไรไตรมาส 2/68 ที่ระดับ 500-600 ล้านบาท กลับมาเติบโตได้ทั้ง จากไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกัน  แรงหนุนจากปริมาณขายยางมะตอยที่ฟื้นตัว, อัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวต่อเนื่อง และการเบิกจ่ายงบประมาณฯ ที่ทำได้ต่อเนื่องตลอดทั้งไตรมาส 

SCGP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 16 บาท โดยมองว่าผลประกอบการที่คาดผ่านจุดต่ำสุดของรอบไปแล้วในไตรมาส 4/67 และอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนการฟื้นตัวของราคาหุ้นได้ในระยะกลาง-ยาว

ทั้งนี้ เบื้องต้นคาดกำไรไตรมาส 2/68 ที่ราว 900-1,000 ล้านบาท ทรงตัว-เติบโตเล็กน้อย จากไตรมาสก่อนหน้า ตามปริมาณขายของบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซียและเวียดนามที่ฟื้นตัว ขณะที่เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน คาดลดลงจากผลกระทบของการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน Fajar

ถึงเวลาเก็บ 5 หุ้น China play_WS (เพจ) copy.jpg