Talk of The Town

EA-NEX 2 ผู้เล่นในวงการ EV ของไทย ผลงานกำลังโตแบบโดดเด่น


18 เมษายน 2567
ต้องยอมรับว่ากระแสความนิยมของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการแห่เข้ามาตั้งฐานการผลิตกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยจำนวนมาก 

TOT แนวนอน EA-NEX  2 ผู้เล่นในวงการ EV ของไทย.jpg

ดังนั้นทีมข่าว Share2Trade จะพานักลงทุนมาสำรวจความน่าสนใจอีกหนึ่งผู้เล่นในวงการ EV อย่างกลุ่ม EA ทั้งบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA และ บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEXในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์

ล่าสุดประกาศข่าวใหญ่ “โตโยต้า ทูโช” และ “เดนโซ่” ประกาศจับมือ NEX ร่วมพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์พลังงานไฮโดรเจน รายแรกในประเทศไทย โดยมุ่งนำไปให้บริการในกลุ่มบริษัทพันธมิตรทางธุรกิจที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ ตั้งเป้าไตรมาส 4/2567 จะได้เห็นต้นแบบยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฮโดรเจนภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้
EA วางเป้าส่งมอบ EV truck 3.7 พันคัน

หากเข้าไปสำรวจปัจจัยพื้นฐาน EA นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ “ถือ” EA และที่ราคาเป้าหมาย 45 บาท โดยคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 7.9 พันล้านบาท เติบโต 4% และปี 2568 ที่ 8.6 พันล้านบาท เติบโต 9% จากปีก่อนหน้า 

ทั้งนี้จาก captive demand ของความต้องการ charging station หลังมีการส่งมอบรถ EV ไป โดยจะเริ่มเห็นกำไรจากการขายรถ EV Truck ทยอยเข้ามาตั้งแต่ในไตรมาส 2/67 และส่งมอบได้มากขึ้นในไตรมาส 3/67 ทำ ให้ช่วยทดแทนรายได้จาก Adder ของโรงไฟฟ้าที่ลดลงและหนุนผลปี 2567 ให้ยังขยายตัวได้ 

ส่วนแนวโน้มไตรมาส 1/67 คาดไม่เห็นรายได้จากการขายรถ EV Bus รับรู้เข้ามา เนื่องจากมีการส่งมอบไปยัง NEX แล้วราว 400 คันในสิ้นปี 2566 แต่จะเป็นการรับรู้กำไรจากการที่ NEX ส่งมอบรถไปยัง TSB แทน ทำให้คาดเห็นกำไรโตจากไตรมาสก่อน แต่หดตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดส่งมอบรถที่ลดลงจากในไตรมาส 1/66

ขณะที่บริษัทตั้งเป้ายอดส่งมอบ EV truck ในปี 2567 ที่ 3.7 พันคัน โดยจะเริ่มเห็นการรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/67 เป็นต้นไป และยอดส่งมอบที่สูงในไตรมาส 3/67 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยใน 2567 จะเห็นยอดส่งมอบ E-Truck ที่มี GPM ที่ดีกว่า E-Bus เป็นส่วนใหญ่ และเห็น E-Bus มีสัดส่วนลดลง 

อีกทั้งในปี 2567 รายได้จากการขายไฟลดลง จากค่า Ft ที่ปรับลง ประกอบกับเงินสนับสนุน Adder ที่หมดของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มอีก 90 MW (Adder: 6.5 บาทหมดอายุสิ้นปี 2566) จากในปี 2566 

อย่างไรก็ตามบริษัทมีการทำ partnership กับ AOT ในการประกอบรถ EV เพื่อใช้ในสนามบินไม่ว่าจะเป็น shuttle รับส่งผู้โดยสาร และรถแท็กซี่สนามบิน รวมถึงเป็นผู้ติดตั้งสถานีชาร์จ EV ทั้งหมดในสนามบินของ AOT และยังเป็นผู้ติดตั้ง solar rooftop เพิ่มเติมด้วย 

นอกจากนี้ยังเข้าสู่ธุรกิจ Waste to energy มากขึ้น โดยนอกจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ได้เพิ่มมา 90 MW แล้ว บริษัทมีการเซ็นสัญญา WTE ที่เกาะล้านและจังหวัดภูเก็ต ที่ 9.9 MW คาดจะ COD ได้ในปี 2568-69 โดยคาดจะ contribute เป็น EBITDA ให้กับบริษัทได้ที่ 600 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการ WTE ที่จังหวัดปทุมธานีที่อยู่ระหว่างการเซ็นสัญญา

NEX ปีนี้โตแรง

ส่วน NEX นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” NEX ด้วยราคาเป้าหมาย 15 บาท โดย NEX เริ่มมียอดคำสั่งซื้อจากลูกค้าที่เป็นบริษัทนอกกลุ่ม ซึ่งคาดว่ายอดขายจากลูกค้าภายนอกนี้ จะเป็นกว่า 80% ของการส่งมอบในปีนี้ (จาก 18% ในปี 2566) 

รวมทั้งรัฐบาลยังดำเนินนโยบายการเปลี่ยนยานยนต์สาธารณะเป็นยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง จึงคาดจะมีการประมูลเพื่อซื้อ CEV สำหรับการใช้งานสาธารณะมากขึ้นในปีนี้ เช่น รถโดยสารประจำทางข้ามจังหวัด และรถบรรทุกขยะและนํ้าของเทศบาล 

นอกจากนี้ยังเห็นความต้องการใช้งานรถบรรทุกไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากบริษัทให้บริการขนส่ง เนื่องจากแนวโน้ม ESG ที่เติบโต และการมีมาตรการจูงใจทางภาษีใหม่ และ บนการเติบโตกำไรที่คาดปี 2567 จะอยู่ที่ 1,252 ล้านบาท เติบโต 73% ส่วนปี 2568 คาด 1,927 ล้านบาท เติบโต 54% และปี 2569 คาด 2,142 ล้านบาท เติบโต 11% จากยอดขาย CEV รวม (E-bus และ E-truck) เพิ่มขึ้นเป็น 3 พันคัน, 4 พันคัน และ 4.5 พันคันในปี 2567-69  ตามลำดับ (1,688 คัน ในปี 66) 

ขณะที่เชื่อว่ายอดขาย E-truck ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะมาจากผู้ให้บริการขนส่งเอกชนจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตหลักของ NEX ในปี 2567-69 ปัจจุบันบริษัทขนส่งเริ่มถูกกดดันให้เปลี่ยนรถให้บริการเป็น E-truck เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้กับลูกค้า หลังมาตรการภาษีทางคาร์บอนถูกนำมาใช้มากขึ้นทั่วโลก 

นอกจากนี้เชื่อว่าปัจจุบันผู้ประกอบการมีความมั่นใจในเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องมากขึ้น หลังรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มใช้งานแพร่หลายในประเทศไทยมาหลายปี ในปีก่อน NEX ขาย E-bus และ E-truck ได้ 1,400 คัน และ 300 คัน แต่เชื่อว่าความต้องการจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ E-truck มากขึ้น และคาดยอดขายปีนี้เป็น E-truck 2,000 คัน และ E-bus 1,000 พันคัน
อีกทั้งรัฐบาลอนุมัติมาตรการทางภาษีเพื่อเร่งการใช้งาน CEV ในบริษัทเอกชน โดยการซื้อ E-bus และ E-truck ที่ผลิตในประเทศจะสามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของมูลค่า แต่จะลดหย่อนภาษีได้เพียง 1.5 เท่าสำหรับยานยนต์นำเข้า 

ดังนั้นมองว่าจะทำให้ต้นทุนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าน่าจะสนใจขึ้นมาก นอกจากจะสามารถลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานได้มากแล้วเมื่อเทียบยานยนต์ดีเซลและ NGV ซึ่งมาตรการนี้จะมีผลถึงปี 2568 จึงคาดยอดขาย CEV ในไทยจะเพิ่มขึ้นมากในช่วงสองปีนี้ และมองว่า NEX จะได้ประโยชน์อย่างมากจากการเป็นผู้ผลิต CEV รายใหญ่ที่สุดของประเทศในปัจจุบัน

EA-NEX  2 ผู้เล่นในวงการ EV ของไทย-01.jpg