จากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)ตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน พบว่ามีหุ้น 21 บริษัทที่ยังถูกขึ้นเครื่องหมาย C และยังไม่สามารถแก้ไขเหตุของการถูกขึ้นเครื่องหมายดังกล่าวได้
ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ได้ออกหลักเกณฑ์การขึ้นเครื่องหมาย “C” (Caution) บนหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน เพื่อเตือนผู้ลงทุนกรณีบริษัทจดทะเบียนมีเหตุการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อฐานะการเงินและการดำเนินธุรกิจ ซึ่งผู้ลงทุนจะต้องซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวด้วยบัญชีแคชบาลานซ์ (Cash Balance) เท่านั้น โดยเกณฑ์การขึ้นเครื่องหมาย C เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2561 ทั้งนี้ การพิจารณาส่วนของผู้ถือหุ้นและรายงานของผู้สอบบัญชีจะเริ่มพิจารณาจากงบการเงินรายไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 เป็นต้นไป
ทั้งนี้จากการสำรวจดังกล่าวพบว่า หนึ่งในหุ้นที่ยังถูกขึ้นเครื่องหมายดังกล่าวยาวนานกว่า 6 ปี คือ หุ้น NEP ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 ของทุนชำระแล้วให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด จึงจะสามารถปลดเครื่องหมาย C ได้
ทั้งนี้ หากพิจารณาที่โครงสร้างผู้ถือหุ้น NEP ยังพบว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
บริษัท เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) NEP ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ โดยผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์กระสอบพลาสติกสาน (Woven Bag) ตั้งแต่ปี 2534 จนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันสามารถแบ่งประเภทผลิตภัณฑ์ที่บริษัทจำหน่ายได้เป็น 3 ประเภทดังนี้ ผลิตภัณฑ์ประเภทกระสอบ ผลิตภัณฑ์ประเภทพลาสติกชนิดอ่อน ผลิตภัณฑ์สำหรับช่องทางออนไลน์
ทั้งนี้ NEP ถูกตลาดหลักทรัพย์ฯสั่งให้ขึ้นเครื่องหมาย C ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคิม 2561 และตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่ยังมีการติดตามและชี้แจงการแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 23พฤศจิกายน 2566ได้จัดประชุมเพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้อง (Public Presentation) เนื่องจากหลักทรัพย์ของบริษัทถูกขึ้นเครื่องหมาย C จากสาเหตุที่บริษัทมี ส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 ของทุนชำระแล้ว ซึ่งบริษัททราบถึงสถานการณ์ของผลการดำเนินงานบริษัท จึงได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น
เป้าหมายแรก
- หยุดผลการดำเนินงานที่ติดลบของงบกำไรขาดทุน บริษัทจะพยายามอย่างเต็มที่ในการแก้ปัญหาการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง บริษัทได้มีการลด Fixed cost ลงมา ได้ค่อนข้างมาก แต่ยังไม่สามารถจะหยุดผลการขาดทุนได้ ดังนั้น บริษัทจะดำเนินการเชิงรุกในการที่จะหยุดผลการ ขาดทุน
- หยุดกระแสเงินสดไหลออก
บริษัทมีแผนที่จะปรับปรุงแผนธุรกิจและตัดรายการธุรกิจที่ขาดทุนออกทั้งหมดให้เหลือเฉพาะธุรกิจและสินค้าที่มีกำไรเท่านั้น เพื่อหยุดกระแสเงินสดไหลออก และทำให้งบกระแสเงินสดกลับมาเป็นบวก โดยมีระยะเวลาในการ ดำเนินการเป้าหมายแรก ให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567
เป้าหมายต่อไป
- ศึกษาธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพและมีความเสี่ยงน้อยมาเสริมให้บริษัทมีรายได้และผลกำไรเพิ่มขึ้นบริษัทจะวางแผนให้มีผลประกอบการที่ดีและมีความยั่งยืนต่อไปในอนาคตโดยมีระยะเวลาการศึกษาหลังจากเป้าหมายแรกสำเร็จแล้ว ไม่เกิน 6 เดือน ประมาณการช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 เพื่อที่จะศึกษาธุรกิจใหม่เข้ามาเพื่อที่จะให้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญและมีความยั่งยืนในอนาคต โดยบริษัทจะคำนึงถึงความเสี่ยงและมีการศึกษาทบทวนความเสี่ยงอย่างดีก่อนที่จะมีการลงทุนเพิ่มเติม
ยอดนิยม
GULF ลั่นกรณี KBANK ซื้อหุ้นคืน จำกัดสิทธิ "ซื้อขายหุ้น" ของบริษัทไม่ได้ แม้ KBANK ร่อนหนังสือวอนห้ามจำหน่าย
“พงษ์ศักดิ์” ทุ่ม 3.5 พันลบ. เทนเดอร์ SVI หุ้นละ 7.50 บาท ก่อนเพิกถอนออกจากตลาดหุ้น
“เซียนมี่” รับทรัพย์ 146 ลบ. หลัง “พงศ์ศักดิ์” ทำเทรนเดอร์ หุ้น SVI ที่ราคา 7.50 บาท
โบรกฯ คาด IRPC พลิกมีกำไร ครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส หลังสต๊อกน้ำมันเป็นบวก-GIM พุ่ง