
นายกจัดแถลงจัดการหนี้พักหนี้ ลดดอกเบี้ย ปรับโครงสร้าง ขยายเวลาผ่อนจ่ายฯ กลุ่มลูกหนี้แบ่งเป็น 4 กลุ่มหลักๆ ได้แก่
1) ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แบ่งเป็นลูกหนี้รายย่อยที่ส่วน ใหญ่มีหนี้เสียกับธนาคารออมสินและธกส. โดยคาดจำนวน1.1ล้านราย และ SMEที่เป็นหนี้เสีย 100,000 ราย โดยผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ลดดอกเบี้ยลง 1% และพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้ SMEs ที่อยู่กับแบงก์รัฐเป็นเวลา 1 ปีรวมถึงยกเลิก สถานะหนี้เสีย NPL
2) ลูกหนี้ที่มีรายได้ประจำที่มีภาระหนี้จำนวนมากเกินศักยภาพ ได้แก่กลุ่มข้าราชการครู ตำรวจ ทหาร ที่มีหนี้กับสถาบันการเงินและหนี้บัตรเครดิต ผ่านการลดดอกเบี้ยไม่ให้สูงเกินไป โอนหนี้ไปที่เดียวเช่นที่สหกรณ์เพื่อตัดเงินเดือนนำมาชำระหนี้ได้สะดวก แต่หักไม่เกิน 70% ของเงินเดือน ปรับโครงสร้างหนี้ผ่าน ‘คลีนิคแก้หนี้’ ผ่อนได้นาน 10 ปี และลดดอกเบี้ยเหลือ 3.5% ต่อปีแนวทางแก้ไขหนี้ครูประมาณ 9 แสนคน
3) กลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอนทำให้ชำระคืนหนี้ไม่ต่อเนื่อง ได้แก่ เกษตรกร ลกหนี้เช่า ซื้อ และลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โดยการพักชำระหนี้ชั่วคราวลดดอกเบี้ย ลดเงินผ่อนชำระต่องวด ถอนอายัติบัญชี ให้ผู้ค้ำประกันหลุดจากการค้ำประกัน ทั้งนี้รัฐบาลได้มีโครงการพักชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรแล้ว โดยพักทั้งหนี้เงินต้น และดอกเบี้ย3ปี ซึ่งมีเกษตรกรเข้าร่วมแล้วกว่า 1.5 ล้านราย และหนี้นักเรียนกยศ.
ประมาณ 5 ล้านคน สำหรับแนวทางแก้หนี้เช่าซื้อ สคบ.จะกำหนดดอกเบี้ยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และรถยนต์ใหม่ต้องไม่เกิน 10%
4) กลุ่มหนี้เสียคงค้างกับสถาบันการเงินของรัฐมาเป็นระยะเวลานาน กลุ่มนี้ จะโอนไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ ที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างสถาบันการเงินของรัฐและบริษัทบริหารสินทรัพย์ โดยการปรับโครงสร้างหนี้
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี ระบุว่าไม่มีผลกระทบหุ้นกลุ่มแบงก์แต่คาดผลกระทบเล็กน้อยต่อกลุ่ม Finance เนื่องจากโครงการนี้มีความเกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธกส. และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFI) จึงมองผลกระทบจำกัดต่อ KTB หรือแทบจะไม่มีผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มแบงก์นอกจากนี้ลูกค้าในกลุ่มแบงก์ยังเป็นคนละกลุ่มกับที่ทางภาครัฐเข้าให้การช่วยเหลือ สำหรับด้านสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่ที่จะมีการกำหนดเพดานดอกเบี้ย เรามองว่าอัตราดอกเบี้ยของธนาคารไม่เกินระดับเพดานที่กำหนดอยู่แล้ว จึงไม่มีผลกระทบ แต่อาจจะมีผลกระทบทางลบเล็กน้อยต่อกลุ่ม Finance
ทั้งนี้มีมุมมอง Neutral ต่อกลุ่มธนาคาร เรามองการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ทั่ว โลกจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงไปยังหุ้นกู้ระยะยาว จึงทำให้หุ้นกลุ่มแบงก์underperformed รวมถึงตลาดหุ้นไทยโดยรวมด้วย เนื่องจากความไม่แน่นอนทาง เศรษฐกิจ อัตราส่วนหนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะ หนี้เอกชนในระดับสูงต่อ GDP และความเสี่ยงทางด้านนโยบายของภาครัฐ นอกจากนี้เราคาดการณ์การเติบโตของ สินเชื่อจะเติบโตเพียงเล็กน้อย ขณะที่ NIM อาจจะทรงตัวหรือลดลงตามกลยุทธ์ของแต่ละแบงก์ อย่างไรก็ดีกลุ่มธนาคารไทยยังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งในด้านของสภาพ คล่อง การตั้งสำรองที่สูง เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่สูง คุณภาพสินทรัพย์ที่จัดการได้และมีนโยบายที่เข้มงวด valuation ที่ไม่แพงและอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ด
ยอดนิยม
.jpg)
MEDEZE จัดทัพธุรกิจ เดินหน้าผลิตยาจากสเต็มเซลล์ รายแรกของไทย ชิงตลาด 2.8 หมื่นลบ.
_0.jpg)
จับตา! โหวตเลือกนายกฯ วันนี้ หากวุ่นวาย “เป็นลบ” ต่อตลาดหุ้น เชื่อ รบ.เสียงน้อย ดันโครงการใหญ่ยาก
%20copy_0.jpg)
“ทักษิณ” ออกนอกประเทศ โบรกฯ ชี้หากไม่กลับ 9 ก.ย.นี้ มีผลต่อหุ้นครอบครัว “ชินวัตร”
_0.jpg)
มองข้ามช็อต! เปิดสถิติก่อนเลือกตั้ง SET พุ่ง 5% พบหุ้นปิโตรฯ-พลังงาน บวกแรง 12%
%20copy_0.jpg)