กระดานข่าว

บล.พายชี้ ปี 2568 หุ้นไทยราคาถูกและปันผลสูง จับตาปี 2569 จะกลับมามีเสน่ห์ได้หรือไม่


22 ธันวาคม 2568

ท่ามกลางความท้าทายที่หลากหลายของประเทศไทยในปี 2568 ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่มั่นคง ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนลงต่อเนื่อง จนทำให้นักลงทุนหลายรายเริ่มหมดศรัทธา แต่ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ยังมีจุดเด่นที่น่าสนใจซ่อนอยู่ โดยเฉพาะเรื่องราคาที่ถูกลงและเงินปันผลสูง ซึ่งอาจเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนที่รอคอย

คุณกวี ชูกิจเกษม บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกั.jpg

นายกวี ชูกิจเกษม ประธานเจ้าหน้าที่สายการบริหารพอร์ตการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาว่า “ตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนและปรับตัวลดลงต่อเนื่องสามปีติด ซึ่งถือว่าเป็นการให้ผลตอบแทนติดลบติดต่อกันนานที่สุด หากไม่นับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง สาเหตุอาจจะมาจากการที่ประเทศไทยไม่ได้มีหุ้นเทคโนโลยีหรือหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรม Semiconductor หรือ Data Center อีกทั้งไม่ได้อยู่ใน Supply Chain ของกระแส AI ซึ่งเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ

ด้านเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะโตต่ำและอาจจะเป็นการโตต่ำถาวร จากปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ภาวะหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการเข้าสู่ภาวะ aging society โดยเศรษฐกิจไทยปี 2025 โตเพียง 2% และคาดว่าจะลดเหลือ 1.7% ในปีหน้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยไม่มี S-curve ใหม่ๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ประกอบกับปัจจัยด้านการเมืองของไทยที่ขาดเสถียรภาพ ทำให้นักลงทุนต่างประเทศไม่กลับเข้ามาลงทุน  แต่ทั้งนี้ความหวังของตลาดหุ้นไทยยังมีอยู่”

เสน่ห์ใหม่ของหุ้นไทย: ราคาถูกและปันผลสูง

แม้ว่าความหวังของตลาดหุ้นไทยยังมีอยู่ แต่เราอาจจะไม่ได้เห็นหุ้นที่เป็น Growth Stock แล้วในช่วง 2-3 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม การที่หุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องทำให้ Valuation ของหุ้นบางอุตสาหกรรมถูกลงมากเช่นกัน ตัวอย่างเช่น หุ้นในกลุ่มบริการ ได้แก่ ค้าปลีก ท่องเที่ยว สื่อสาร ที่เคยพาหุ้นไทยไปแตะ 1,850 จุดในปี 2561 ปัจจุบันหลายบริษัทในกลุ่มเหล่านี้ทำกำไร New High แต่ราคาหุ้นไม่ปรับตัวขึ้น เพราะตลาดถูกกดดันจากปัจจัยภายนอก

"หากจะตอบคำถามที่ว่าเสน่ห์ของหุ้นไทยในตอนนี้คืออะไร เราอาจจะมองไปถึงเรื่องราคาที่เหมาะสมและเงินปันผลที่มีการจ่ายในระดับที่สูงมากที่ 4-7% โดยเฉพาะหุ้นใน SET50 ดังนั้นในปี 2569 ตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ เรามองว่ายังมีข้อจำกัดหรือมี Upside ที่ไม่เยอะ ในทางกลับกัน Downside ก็ไม่ได้เยอะเช่นกัน" นายกวีกล่าว

สำหรับดัชนีหุ้นไทยที่ปัจจุบันเกิน 1,000 จุด หากตัด DELTA ที่เป็นผู้นำตลาดออกไป หุ้นได้กลับไปซื้อขายกันที่ 1,000 จุดแล้ว ทำให้ราคาหุ้นขนาดใหญ่ พื้นฐานแข็งแกร่งหลายตัว กลับไปซื้อขายใน valuation ที่เคยทำเอาไว้ตอนที่ดัชนี 1,000 จุด สะท้อนให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยได้รับรู้ข่าวร้ายไปหมดแล้ว และ Valuation จะเป็นจุดที่ดึงให้นักลงทุนกลับเข้ามาเพื่อรับปันผล

โอกาสใหม่: Data Center และ S-Curve

สิ่งที่นักลงทุนจะต้องติดตามในปี 2569 คือการก้าวสู่ S-Curve ใหม่ ในเรื่องของการเป็น Supply Chain ของ Data Center เนื่องจากไทยมีศักยภาพทั้งระบบอำนวยความสะดวกพื้นฐาน ระบบน้ำ ไฟฟ้า พลังงานทดแทน การสื่อสารและการขนส่ง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่จะดึงดูดเม็ดเงินและการลงทุนเข้ามาในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

"ผมเชื่อว่าในปี 2569 ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยที่จะเกิดความท้าทาย โลกของการลงทุนทั้งหมดจะเจอความท้าทายที่น่าจะมากกว่าในปี 2568 หรือ 2-3 ปีที่ผ่านมาก่อนหน้านั้น เพราะฉะนั้นการที่จะอยู่รอดในตลาดแบบนี้ การจัดพอร์ตลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุน เพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าเศรษฐกิจเติบโตหรือหดตัว โลกจะมีความขัดแย้งหรือมีสงครามอะไรเกิดขึ้น การหาความรู้เพิ่มเติม การบริการพอร์ต การกระจายความเสี่ยงเป็นการรักษาสมดุลของการลงทุนที่จะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจในช่วงที่ตลาดผันผวนได้” นายกวีกล่าว

หนึ่งในกุญแจสำคัญของการอยู่รอดในตลาดที่ผันผวนคือการจัดพอร์ตลงทุนอย่างชาญฉลาด กระจายความเสี่ยง และศึกษาข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น สำหรับนักลงทุนที่สนใจติดตามข้อมูลเชิงลึกและมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับตลาดหุ้นไทย สามารถเข้าร่วมงานสัมมนาและติดตามข่าวสารจากบล.พาย ได้ที่ www.pi.financial หรือ Facebook: pisecurities และ LINE OA: @pisecurities