กระดานข่าว

หลักทรัพย์บัวหลวง ชี้ “เม็ดเงินลงทุน FDI - ท่องเที่ยว” พยุงเศรษฐกิจไทยปี 2569 ทยอยฟื้นตัว


25 พฤศจิกายน 2568
IMG_2384.jpeg

หลักทรัพย์บัวหลวง มองเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้ม “ทยอยฟื้นตัว” ในปี 2569 รับแรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในอุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์, ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง และการส่งออกจะกลับมาเป็นแรงหนุนครึ่งหลังปี 2569 พร้อมคงเป้าหมาย SET Index ปี 2569 ระดับ 1,440 จุด แนะนักลงทุนใช้กลยุทธ์ Barbell Strategy กระจายการลงทุนระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ
เพื่อสร้างสมดุลและลดความผันผวนของพอร์ต                     

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงกว่า 8% (ณ วันที่ 12 พ.ย. 2568) โดยลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีที่ 1,056 จุด ในเดือนเมษายน 2568 จากแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและต่างประเทศ อาทิ
ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว, หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ
4 ปี, การบริโภคภายในประเทศอ่อนแรง, ความไม่แน่นอนทางการเมือง ตลอดจนความกังวลผลกระทบมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาเคลื่อนไหวผันผวน

ในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2568 ทีม Wealth Research ประเมินตลาดหุ้นไทยคาดเคลื่อนไหวในกรอบ
โดยยังเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบต่อสินค้าส่งออกบางประเภท อีกทั้งเมื่อพิจารณาในเชิงมูลค่า (Valuation) พบว่า SET Index มีค่า P/E ราว 14.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดภูมิภาคที่ราว 13 เท่า แต่อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังได้รับแรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุน FDI ในอุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์,
ภาคท่องเที่ยวที่ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ปี 2568 รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “เที่ยวดีมีคืน” และ “คนละครึ่งพลัส” ทำให้คาดว่าในช่วงปลายปี 2568 SET Index อาจเคลื่อนไหวในกรอบ 1,280 - 1,320 จุด

สำหรับปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มเห็นการ “ทยอยฟื้นตัว” ในไตรมาสแรก โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจาก
3 ปัจจัย ได้แก่

  1. การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัล (Data Center) และอิเล็กทรอนิกส์ (เซมิคอนดักเตอร์) ซึ่งจะทยอยลงทุนจริงต่อเนื่อง หลังได้รับอนุมัติจาก BOI
  2. ภาคท่องเที่ยว ที่เติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแตะ 34 ล้านคน เพิ่มขึ้นราว 4% จากปีก่อน โดยเฉพาะตลาดอินเดีย รัสเซีย และยุโรป ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนเริ่มฟื้นตัวจากฐานต่ำ
  3. ภาคการส่งออก ที่ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 4 ปี 2568 และมีแนวโน้มฟื้นตัว

จากปัจจัยดังกล่าว หลักทรัพย์บัวหลวง ยังคงเป้าหมาย SET Index ปี 2569 ที่ระดับ 1,440 จุด คาดกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 90 บาทต่อหุ้น แม้ยังมีปัจจัยกดดัน เช่น เศรษฐกิจโลกชะลอตัว,การบริโภคในประเทศทรงตัวจากภาระหนี้ครัวเรือน และความไม่แน่นอนทางการเมือง

ด้านนายพิริยพล คงวาณิช นักกลยุทธ์ปัจจัยพื้นฐาน ฝ่าย Wealth Research หลักทรัพย์บัวหลวง กล่าวเพิ่มเติมว่า กลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับช่วงปี 2569 ยังเน้นกลุ่มหุ้นคุณภาพสูง และ/หรือหุ้นกลุ่มปันผลสูง-กระแสเงินสดสม่ำเสมอ
โดยเน้นไปที่ 4 ธีมหลัก ได้แก่

  1. “กลุ่มผู้นำการเติบโตธีมดาต้าเซ็นเตอร์-Digital transformation” การเติบโตรอบใหม่ของกลุ่มโรงไฟฟ้า-น้ำ
    กำลังจะเริ่มต้น ความต้องการใช้ไฟฟ้าและน้ำจากดาต้าเซ็นเตอร์คาดว่าจะเร่งตัวตั้งแต่ต้นปี
    2569 หลังการอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุน (BOI) สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2567
    รวมถึงกลุ่มสื่อสาร คาดเติบโตแกร่งตามกระแส Digital transformation (หุ้น WHAUP, หุ้น GULF, หุ้น ADVANC)
  2. “กลุ่มเชื่อมโยงการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก ทั้งกลุ่มปิโตรฯ และกลุ่มส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง” โดยนโยบาย
    “Anti-involution” ของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ มีเป้าหมายจำกัดปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน ช่วยจำกัดความเสี่ยงด้านอุปทานส่วนเกินเพิ่มเติม หนุนกลุ่มปิโตรฯ นอกจากนี้ ระดับ Valuations อยู่ในภาวะถูกมากใกล้เคียงกับระดับต่ำสุดในช่วงวิกฤตปี 2008 ส่วนต่างผลิตภัณฑ์หลักอย่าง HDPE, PP และ PET อยู่ “ต่ำกว่าจุดคุ้มทุน” (Breakeven) ซึ่งทำให้โครงการขยายกำลังการผลิตใหม่ชะลอลง และช่วยจำกัด Downside ของราคาส่วนต่าง ทั้งนี้ การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมโลกในปี 2569 (manufacturing cycle) จะหนุนความต้องการปิโตรฯ และกำไรกลุ่มปิโตรฯ เติบโตในปี 2569 ในขณะที่ความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงคาดยังแข็งแกร่ง ผลิตภัณฑ์ใหม่คาดหนุนอัตรากำไรเพิ่มเติม และการเติบโตกำไร (หุ้น PTTGC, หุ้น SCC, หุ้น ITC)
  3. “กลุ่มที่กำไรคาดเติบโตต่อเนื่อง-ได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐฯ (นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
    -เกษตรกร)” มาตรการกระตุ้นฯ/แก้หนี้คาดทยอยออกมาต่อเนื่องลดแรงกดดันหนี้ครัวเรือนสูงล มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Quick Big Win ที่ทยอยออกมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2568 ได้แก่ คนละครึ่งพลัส และมีแนวโน้มดำเนินการโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เฟส 2 ต่อ คาดเริ่มได้ในเดือนมกราคม 2569 หรืออาจมีมาตรการอื่น ๆ เช่น โครงการ Easy e-receipt สำหรับผู้มีรายได้สูงและอยู่ในระบบภาษีราว 4 ล้านคน หนุนการบริโภคเพิ่มเติม ในขณะที่มาตรการแก้หนี้ครัวเรือนคาดเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น จากการรับซื้อหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs)
    จากธนาคารพาณิชย์และ Non-Bank โดยการจัดตั้ง JV AMC คาดยังเน้นกลุ่มค้าปลีก (เน้นกลุ่มของใช้จำเป็น), ห้างที่มีรายได้ค่าเช่าสม่ำเสมอ, กลุ่มการเงิน (เฉพาะที่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี) (หุ้น CPN, หุ้น CENTEL, หุ้นAOT, หุ้น MTC, หุ้น TIDLOR)
  4. “กลุ่มปันผลสูง-กระแสเงินสดสม่ำเสมอ-ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นตลาดทุน” หลังคลังเห็นชอบหลักการโครงการออมระยะยาว (Thailand Individual Investment Account : TISA) โดยให้สิทธินำวงเงินการซื้อขายหุ้น และมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ นำมาใช้ลดหย่อนภาษีทางตรงได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด เพื่อใช้เป็นหนึ่งในมาตรการฟื้นความเชื่อมั่น ทั้งนี้ คาดมาตรการกระตุ้นตลาดทุนโครงการออมระยะยาว (Thailand Individual Investment Account : TISA) จะหนุนกลุ่มหุ้นพื้นฐานดีปันผลสูง โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร และกลุ่มสื่อสาร (หุ้น KTB, หุ้นSCB)

สำหรับการลงทุนในปี 2569 แนะนำให้นักลงทุนใช้กลยุทธ์ “Barbell Strategyโดยกระจายการลงทุนระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ ดังนี้ “ตลาดหุ้น” สัดส่วน 60% (แบ่งเป็นหุ้นไทย 10 %, หุ้นต่างประเทศผ่าน DR 50% กระจายทั้งในธีมเชื่องโยง AI ในสหรัฐฯ (เช่น GOOGL0 และ NVDA01) ธีมเศรษฐกิจดิจิทัลในจีน (เช่น TENCENT01)  รวมถึงอินเดีย (INDIA01)และเวียดนาม (E1VFVN3001) 2. “ตราสารหนี้” สัดส่วน 30% และ 3. “ทองคำ” สัดส่วน 10% โดยราคาทองคำยังมีแนวโน้มแข็งแกร่งจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ, การเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก และแรงซื้อจากกองทุน ETF โดยตั้งเป้าราคาทองคำที่ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ประมาณบาทละ 78,000) ภายในปี 2569 และอาจแตะระดับ 6,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในปี 2570 - 2571 ซึ่งสะท้อนว่า “ทองคำ” ได้เข้าสู่ Super Cycle ระยะที่ 3 อย่างสมบูรณ์

ส่วนกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ และยานยนต์ เนื่องจากฟื้นตัวช้าและได้รับผลกระทบจาก
ภาระหนี้ครัวเรือนสูง ทั้งนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอาจต้องอาศัยปัจจัยภายนอก เช่น การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว และการปรับเกณฑ์ส่งเสริมการลงทุนของ BOI เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ