จับตาวันนี้ GULF แจ้งงบ Q3 ลุ้นฟาดกำไร 7.2 พันลบ. เติบโต 20% หลัง ADVANC หนุน - ไฟฟ้าแข็งแกร่ง

ลุ้นวันนี้ GULF รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/68 นักวิเคราะห์คาดฟันกำไรสุทธิ 7.2 พันล้านบาท เติบโต 20% หลังกำไรผลิตพุ่ง แถม ADVANC หนุน จับตาไตรมาส 4 ทำนิวไฮ หลัง ADVANC เป็นช่วงดีที่สุดของปีและราคาก๊าซธรรมชาติลดลง เชียร์ “ซื้อ” เพิ่มเป้าหมายใหม่เป็น 55 บาท

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วันนี้ (6 พ.ย.) คาดว่า GULF จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2568 โดยประเมินจะมีกำไรสุทธิแข็งแกร่งที่ 7.2 พันล้านบาท เติบโต 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 89% จากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจาก ไม่มีกำไรจากการซื้อกิจการ (gain on bargain purchase) ของ ADVANC 5.6 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน

ขณะที่กำไรหลักจะอยู่ที่ 7.1 พันล้านบาท เติบโต 52%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 1% จากไตรมาสก่อน (ตัดกำไร Fx)

โดยกำไรที่เพิ่มเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน จะเป็นเพราะโครงการ Jackson แข็งแกร่งขึ้น (capacity payment สูงขึ้น) ขณะที่ ADVANC (การประหยัดต้นทุนคลื่นความถี่) โครงการร่วมทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลม (high season) และโรงไฟฟ้า SPP กับ IPP ดีขึ้นเล็กน้อย ซึ่งถูกกลบไปบางส่วนด้วยเงินปันผลรับจาก KBANK ลดลง

ส่วนกำไรที่พุ่งขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน อาจมาจากที่ GULF ถือหุ้นใน ADVANC เพิ่มขึ้นเป็น 40.44% (จาก 19%) และ capacity ที่สูงขึ้น ด้วยอัตราค่า Ft ที่ 0.20บาท/kWh (-0.20 บาทเทียบไตรมาสก่อน และ -0.10 บาทเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) ราคาก๊าซของ SPP ที่ 298 บาท/ล้านบีทียู (-19 บาท จากไตรมาสก่อน และ -36 บาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน)

อย่างไรก็ตาม จึงปรับเพิ่มกำไรหลักปี 2568-70 ขึ้น ราว 4-6% เพื่อสะท้อนส่วนแบ่งกำไรที่แข็งแกร่งขึ้นจากโครงการ Jackson และ ADVANC โดย GULF ได้รับประโยชน์จากค่าความพร้อมจ่าย (capacity payment: CP) ที่พุ่งขึ้นอยู่ที่ 270เหรียญ/MW-day (เพิ่ม 9 เท่า) ใน PJM ซึ่งโครงการ Jackson คาดจะสร้างกำไรให้ GULF ปี 2568-70 สูงขึ้นมาที่ราว 550-750 ล้านบาทต่อปี (จากกำไรแค่เล็กน้อยในอดีต)

นอกจากนี้ กำไรหลักไตรมาส 4/2568 ของ GULF น่าจะเป็นจุดพีคของปี 2568 ซึ่งหนุนจากผลงานของ ADVANC เป็นช่วงดีที่สุดของปีและราคาก๊าซธรรมชาติลดลง แม้ ค่าใช้จ่าย ด้านSG&A จะสูงขึ้นตามฤดูกาลและความต้องใช้ไฟฟ้าจะลดลงก็ตาม ดังนั้นคงคำแนะนำ “ซื้อ” และขยับราคาเป้าหมายใหม่ไปเป็นสิ้นปี 2569 ที่ 55 บาท