ภาษีประจำปี ถือเป็นสิ่งที่คนไทยหลายๆคนต้องวางแผนล่วงหน้า โดยวิธีการนำสิทธิประโยชน์ๆต่างมาใช้ลดหย่อนภาษี ซึ่งสำหรับตลาดทุนก็มีกองทุนลดหย่อนภาษีให้นักลงทุนมาช้อปปิ้ง ซึ่งในวันนี้เราก็มี 6 กองทุนที่น่าสนใจจากมุมมองของนักวิเคราะห์มาใช้ประกอบการตัดสินใจกัน
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า เพื่อเป็นตัวช่วยสําหรับผู้ที่ต้องการวางแผนภาษี และสามารถลงทุนระยะยาวได้ตามเงื่อนไข จึงได้มีการคัดเลือกกองทุนประหยัดภาษีที่น่าลงทุนประจำปี 2568 โดยแบ่งตามประเภทสินทรัพย์ ดังนี้
1. กองทุนตราสารหนี้ไทย KFMTFIRMF ที่จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพภายในประเทศเหมาะสําหรับนักลงทุนที่ต้องการเน้นความมั่นคง/ลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม จุดเด่นคือถือครองตราสารที่มี Credit Rating A- ขึ้นไปเป็นสัดส่วนหลัก ทําให้มั่นใจได้ในระดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสาร
โดย ณ 31 ก.ค. พอร์ตมี Duration เฉลี่ย 2 ปี 9 เดือน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับกลาง ไม่สั้นจนผลตอบแทนตํ่าเกินไป และไม่ยาวจน เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยมากเกินจําเป็น ขณะที่ Yield to Maturity อยู่ที่ประมาณ 2% ต่อปีแม้จะไม่หวือหวาเหมือนการลงทุนในหุ้น แต่ก็มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่มั่นคงสมํ่าเสมอในระยะยาว
2. กองทุนตราสารหนี้โลก K-GDBONDRMF ที่หาโอกาสลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพทั่วโลก โดยบริหารผ่านทีมผู้เชี่ยวชาญระดับโลกที่สามารถปรับกลยุทธ์ให้ยืดหยุ่นตามสภาวะตลาด จุดแข็งคือการกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้หลายประเภทและหลายภูมิภาคเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนไปพร้อมกับควบคุมความเสี่ยง
สำหรับกองทุนหลักคือ Pimco GIS Income ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกองทุนตราสารหนี้ชั้นนําของโลก โดย ณ 31 ส.ค. พอร์ตมี Duration เฉลี่ยราว 5.3 ปีทําให้ได้รับประโยชน์สูงจากวัฏจักรดอกเบี้ยโลกขาลง ขณะที่ Yield to Maturity อยู่ที่ 6.3% ต่อปี ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับกองทุนตราสารหนี้ทั่วไป และยังมีอันดับเครดิตเฉลี่ยที่ AA- ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพและความน่าเชื่อถือของตราสารในพอร์ตได้เป็นอย่างดี
3. กองทุนหุ้นไทย K-TNZ-THAIESG กองทุนนี้เป็น Passive Fund ที่อิงดัชนี SET100 ทําให้กระจายการลงทุนในหุ้นชั้นนําของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมี ค่าธรรมเนียมรายปีเพียง 0.7% จึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าในการลงทุนระยะยาวจุดเด่นคือการผสานแนวคิดด้าน ESG โดยเลือกลงทุนในบริษัทที่มีแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง
พร้อมกับใช้กรอบการประเมินจาก Implied Temperature Rise ซึ่งพัฒนาโดยบลจ. Lombard Odier เพื่อวิเคราะห์ความยั่งยืนของธุรกิจ แนวทางนี้ไม่เพียงช่วยสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในหุ้นชั้นนํา แต่ยังสอดคล้องกับกระแสการลงทุนที่ให้ความสําคัญกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
4. กองทุนหุ้นไทย SCBRMS50 กองทุนนี้เป็น Passive Fund ที่อิงดัชนีSET50 ซึ่งรวบรวมหุ้นขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงของไทย เหมาะสําหรับผู้ที่ต้องการรับโอกาสการเติบโตจากหุ้นชั้นนําของประเทศ ข้อได้เปรียบคือการกระจายพอร์ตในหุ้นตัวใหญ่ที่มีบทบาทสําคัญต่อเศรษฐกิจไทย พร้อมค่าธรรมเนียมรายปีที่ตํ่าเพียง 0.6% ทําให้เป็นทางเลือกที่เหมาะกับการลงทุนระยะยาวและการสร้างผลตอบแทนที่สอดคล้องกับตลาดหุ้นไทยโดยรวม
5. กองทุนหุ้นกลุ่มสุขภาพ ES-HEALTHCARERMF กองทุนนี้ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare ทั่วโลก ซึ่งจัดเป็นDefensive Growth ที่ไม่เพียงช่วยป้องกันความเสี่ยงในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ยังรักษาการเติบโตของกําไรได้อย่างมั่นคงระยะยาว เพราะ การรักษาพยาบาลคือความจําเป็นพื้นฐานของมนุษย์ ทําให้ธุรกิจในกลุ่มนี้สร้างรายได้ต่อเนื่องท่ามกลางวัฏจักรเศรษฐกิจที่ผันผวนและคาดเดาได้ยาก
โดยกองทุนหลักคือ Janus Global Life Sciences ที่เชี่ยวชาญ ด้าน Healthcare โดยเฉพาะ จุดเด่นอยู่ที่การคัดเลือกบริษัทชั้นนําที่มีนวัตกรรมโดดเด่น ครอบคลุมตั้งแต่บริษัทยารายใหญ่ไปจนถึงเทคโนโลยีชีวภาพและบริการสุขภาพ โดยมุ่งสร้างพอร์ตที่สมดุล เพื่อโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
6. กองทุนหุ้นโลกตามธีม AI KT-WTAI RMF AI คือเมกะเทรนด์ระดับโลก ที่ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนมหาศาลจากทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่และสตาร์ทอัพ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจและโมเดลใหม่ ๆ อีกทั้งยังถูกนําไปประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมหลัก ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์ การเงิน และการผลิตอุตสาหกรรม เป็นต้น
สำหรับกองทุนหลัก Allianz Global Artificial Intelligence โดดเด่นที่การลงทุนแบบครอบคลุมทั้งห่วงโซ่ AI ตั้งแต่ Infrastructure (ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์) Applications ที่เข้ามาแทนแรงงานมนุษย์ ไปจนถึง AI-enabled businesses ที่นํา AI มาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม, มุ่งคัดเลือกบริษัทที่ได้ประโยชน์ตรงจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI ซึ่งมีศักยภาพเพิ่ม Market Share และMargin ในอนาคต, บริหารโดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่สั่งสมประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี