KTC ผนึกพันธมิตรท่องเที่ยวหนุนไทย ก้าวสู่ Wellness Destination ชั้นนำของโลก
เคทีซี หรือ บมจ.บัตรกรุงไทย ผนึกพันธมิตรผู้นำตสาหกรรมท่องเที่ยว ฟันธง Wellness Tourism เป็นเครื่องยนต์ใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ Wellness Destination ชั้นนำของโลก ขณะที่ Global Wellness Institute (GWI) ระบุตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลกปี 2025 จะมีมูลค่า 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 230 ล้านล้านบาท ตลาด Wellness Tourism ของโลกเติบโตเร็วกว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วไปเกือบ 2 เท่า
เคทีซี จัดงานเสวนา “Thailand Wellness Tourism: From Longevity Economy to Lifestyle for All” รวบรวมผู้นำอุตสาหกรรมท่องเที่ยวประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ชีวาศรม ปัญญ์ปุริ Thailand Gastronomy และโรงแรมสุโขทัย ประสานเสียง Wellness Tourism กำลังกลายเป็นเครื่องยนต์ใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต เคทีซี เปิดเผยว่า สมาชิกเคทีซีมีพฤติกรรมลงทุนด้านสุขภาพควบคู่กับการท่องเที่ยวมากขึ้น โดยยอดใช้จ่ายในโรงแรมที่ตอบโจทย์ Wellness มียอดต่อครั้งสูงกว่าโรงแรมทั่วไป 1.88 เท่า และยังเห็นสัญญาณการใช้จ่ายเพื่อสุขภาพของกลุ่มคนอายุ 30–35 ปี เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เคทีซีมองว่าการท่องเที่ยวในอนาคตคือการสร้าง Travel Ecosystem ที่ตอบโจทย์ทั้งสุขภาพและคุณภาพชีวิตในทุกขั้นตอน ผ่านการออกแบบสิทธิประโยชน์เฉพาะสำหรับ Customer Journey เช่น แพลตฟอร์ม KTC Wellness Hub ที่รวบรวมสิทธิประโยชน์มากกว่า 60 พันธมิตร ครอบคลุมรีสอร์ทสุขภาพ โรงพยาบาล สปา และร้านอาหารสุขภาพ มอบสิทธิพิเศษที่ไม่ใช่แค่ส่วนลด แต่เปิดโอกาสให้สมาชิกเข้าถึงบริการสุขภาพที่ได้มาตรฐาน สะดวก และคุ้มค่าอย่างแท้จริง
“บทบาทของเคทีซีไม่ใช่เพียงผู้ให้บริการบัตรเครดิตแต่คืออีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยผู้ประกอบการเชื่อมต่อกับฐานลูกค้าคุณภาพกว่า 2.8 ล้านราย และสร้างโอกาสใหม่ในตลาด Wellness Tourism ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ Wellness Destination ชั้นนำของโลก” นางสาววริษฐา กล่าว
นายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และที่ปรึกษา BDMS Wellness เปิดเผยว่า วิกฤตโควิด-19 ทำให้ผู้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจสุขภาพทั้งด้านอาหาร การออกกำลังกาย และสุขภาพจิต จนแนวคิด Well-being กลายเป็นไลฟ์สไตล์สำคัญและต่อยอดสู่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ที่สร้างคุณค่าแก่ทั้งร่างกายและเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ผู้ที่เดินทางเพื่อสุขภาพโดยตรง (Primary Wellness Tourism) และมียอดใช้จ่ายสูง สัดส่วน 15% และผู้ที่ท่องเที่ยวทั่วไปแต่ใช้จ่ายด้านสุขภาพเสริม (Secondary Wellness Tourism) มีสัดส่วน 85%
ซึ่งหากประเทศไทยต้องการเป็น Wellness Destination ระดับโลก ต้องเร่งขยายฐานกลุ่ม Primary ผ่านการสร้าง Ecosystem ครบวงจร ตั้งแต่นโยบายรัฐ มาตรฐานบริการ แพ็กเกจท่องเที่ยวสุขภาพแบบบูรณาการ จนถึงการสร้างสุขภาวะให้คนไทยเอง พร้อมทั้งเจาะตลาด Gen Z (13–28 ปี) นักเดินทางรุ่นใหม่ที่พร้อมลงทุนเพื่อประสบการณ์สุขภาพและคุณภาพชีวิต ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต
นายกรด โรจนเสถียร ที่ปรึกษาประธานบริหารและประธานกรรมการ ชีวาศรม อินเตอร์เนชั่นแนล เฮลท์ รีสอร์ท กล่าวว่า ปัจจุบันลูกค้าชีวาศรม 80% เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ และ 20% เป็นนักท่องเที่ยวไทย เพิ่มขึ้นจากก่อนโควิดที่มีไม่ถึง 2% กลุ่มหลักคือ Gen X (46–60 ปี) รองลงมาคือ Gen Y (31–45 ปี) ที่นิยมท่องเที่ยวควบคู่สุขภาพแบบองค์รวม มียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 60,000–100,000 บาทต่อคนต่อทริป และมีแนวโน้มพักระยะยาวมากขึ้น ตั้งแต่ 7 คืนจนถึง 3 เดือน บางรายอยู่นานถึง 6 เดือน
ด้านนายปราโมทย์ เดชะบุญศิริพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปุริ จำกัด ที่ระบุว่า ประเทศไทยมีเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมที่ผูกโยงกับ 5 Senses – กลิ่น รส สัมผัส เสียง และบรรยากาศ ซึ่งปัญญ์ปุริได้นำมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์และ Wellness Experience ที่แตกต่าง เช่น กลิ่นหอมจากพืชพันธุ์ธรรมชาติและภูมิปัญญาโบราณที่ช่วยบำบัดความเหนื่อยล้าได้จริง และยังเป็นกระจายสู่ท้องถิ่น จุดแข็งเหล่านี้คือ Top of Mind ที่สามารถต่อยอด และสร้างรายได้ในระดับโลก ดังนั้นการพัฒนาตลาด Wellness จึงไม่เพียงสร้างรายได้ แต่ยังเสริมพลัง Soft Power ไทย และเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
ผศ.ดร.จุฑามาศ วิศาลสิงห์ ประธานเครือข่าย Thailand Gastronomy Network กล่าวว่า อาหารไทยมีความพร้อมอย่างมากในการเป็นหนึ่งในหัวใจของ Wellness Tourism เพราะเรามีภูมิปัญญาเรื่องสมุนไพร เครื่องแกง และการผสมรสที่สะท้อนหลัก อาหารเป็นยา ( Food as Medicine ) อย่างแท้จริง ซึ่งข้อมูล GWI ระบุอีกว่าอุตสาหกรรม Wellness Tourism จะเติบโตเป็น1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 51 ล้านล้านบาท ภายในปี 2027 ซึ่งเติบโตเร็วกว่าการท่องเที่ยวทั่วไปเกือบ 2 เท่า นักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปประมาณ 1,886 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 68,000 บาท สูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปถึง 56% ขณะเดียวกันประเทศไทยยังครองอันดับ 1 ด้านการเติบโตของตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ระหว่างปี 2022 – 2023 จาก 25 ตลาดสุขภาพชั้นนำของโลก
มิสเตอร์ริชาร์ด ดอยท์ล ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมสุโขทัย กรุงเทพ กล่าวว่า The Sukhothai Spa ถือเป็นตัวอย่างการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่นำเอกลักษณ์เรือนไทยโบราณผสานกับศาสตร์การบำบัดสมัยใหม่อย่างกลมกลืน จนกลายเป็นพื้นที่ที่สร้างทั้งการพักผ่อนและการเยียวยาแบบองค์รวม นอกจากนี้การได้รับรางวัล Michelin Keys 2 ดอก สะท้อนมาตรฐานการบริการระดับโลกของโรงแรมสุโขทัย กรุงเทพ ที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ พร้อมยกระดับประเทศไทยสู่การเป็น Wellness Destination ชั้นนำของโลก ได้อย่างยั่งยืน
ยอดนิยม
_%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%20S2T.jpg)
ค่าเงินบาทวันนี้ 10 ต.ค. 2568

WHAID - WHAUP ผนึกกำลังลงนาม MOU ร่วมกับ กฟภ. - พีอีเอ เอ็นคอม พัฒนาระบบไฟฟ้า รองรับดีมานด์การใช้ไฟฟ้ากลุ่มลูกค้า Data Center

KBank จับมือ Netflix เอาใจคอหนังและซีรีส์ เชื่อมต่อบริการผูกบัญชีหักอัตโนมัติชำระค่าสมาชิกได้ง่ายผ่าน K PLUS เป็นธนาคารแรกในประเทศไทย
%20(1).jpg)
ตลาดคอนโดฯปี’69 ชะลอตัวต่อเนื่อง ลุ้นรัฐบาลใหม่สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ฟื้นเศรษฐกิจกระตุ้นกำลังซื้อ
