Fund / Insurance
สมาคมประกันวินาศภัยไทย พลิกโฉมธุรกิจ ด้วยนวัตกรรม ก้าวสู่ความยั่งยืนในโลกใหม่
22 กันยายน 2568
สมาคมประกันวินาศภัยไทย เตือนภาคธุรกิจประกันภัยต้องเร่งขับเคลื่อนนวัตกรรมเชิงรุก ใช้เทคโนโลยีในการทำงาน ตอบสนองความคาดหวังของผู้บริโภค รองรับผู้เล่นหน้าใหม่ในรูปแบบ InsurTech

ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวในเวที Executive Talk ภายใต้หัวข้อ “เร่งสร้างนวัตกรรม สู่การเปลี่ยนผ่านธุรกิจประกันภัยที่ยั่งยืนในโลกใหม่” โดยย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับตัวของภาคธุรกิจประกันภัยท่ามกลางบริบทของ “โลกใหม่” ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภาคธุรกิจประกันภัยจึงต้องขับเคลื่อนนวัตกรรมเชิงรุกในทุกด้าน โดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งผู้บริโภคมีความคาดหวังว่าทุกขั้นตอนของบริการต้องสามารถดำเนินการผ่านสมาร์ทโฟนได้อย่างไร้รอยต่อ ทั้งการซื้อประกัน การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน และการติดต่อบริการ
ในขณะเดียวกัน การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI, Big Data, IoT, Sensor, Robotic และ Blockchain ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานของอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่ในรูปแบบ InsurTech สามารถแข่งขันได้ในระดับประเทศ ดังนั้นการเข้าใจความเสี่ยงและปรับตัวได้อย่างรวดเร็วจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจยุคใหม่
ในด้านการประกันภัยรถยนต์ จำเป็นต้องให้ความสำคัญในการจัดทำ “ราคากลาง” ของรถยนต์และค่าซ่อมแซมโดยใช้ระบบ AI และ Big Data เพื่อปรับปรุงราคากลางให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของตลาดในแต่ละช่วงเวลา เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการเสนอเบี้ยประกันภัย และลดข้อโต้แย้งในกระบวนการเคลม
“อุตสาหกรรมประกันภัยไทยอยู่ในจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ซึ่งการปรับตัวสู่ความยั่งยืนไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการปรับเฉพาะผลิตภัณฑ์หรือช่องทางการจัดจำหน่ายเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล การบริหารความเสี่ยงที่ทันสมัย และการให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าการขับเคลื่อนนวัตกรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้ระบบประกันภัยสามารถคงบทบาทสำคัญในการบริหารความเสี่ยงเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว” ดร.สมพร กล่าว
นายฮากีม เบ็ญราฮีม ประธานคณะกรรมการประกันภัยทรัพย์สิน กล่าวถึงสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือพายุรุนแรง แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนา CAT Model (Catastrophe Model) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินความเสี่ยงและความเสียหายจากภัยพิบัติ ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวางแผนรับมือ และสร้างความมั่นใจให้ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน
เหตุการณ์มหาอุทกภัยปี 2554 เป็นบทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า การพึ่งพาข้อมูลในอดีตเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะประเมินความเสี่ยงได้อย่างถูกต้อง การนำ CAT Model เข้ามาใช้จึงถือเป็นการยกระดับการบริหารความเสี่ยงของอุตสาหกรรมประกันภัยไทย โดยไม่เพียงช่วยให้บริษัทประกันภัยกำหนดเบี้ยประกันที่เหมาะสม แต่ยังเป็นข้อมูลเชิงลึกที่ภาครัฐสามารถนำไปใช้ในการวางแผนผังเมือง และช่วยให้ประชาชนตระหนักและเตรียมพร้อมรับมือได้ดียิ่งขึ้น
“การลงทุนใน CAT Model คือการลงทุนเพื่อความปลอดภัยและความยั่งยืนของประเทศ เราต้องร่วมมือกันทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ ภาครัฐ และภาคธุรกิจ เพื่อสร้างแบบจำลองที่ตอบโจทย์บริบทของประเทศไทย โดยเฉพาะภัยพิบัติที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น น้ำท่วมฉับพลัน น้ำหลาก หรือพายุฤดูร้อน การพัฒนา CAT Model อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ระบบประกันภัยไทยแข็งแกร่ง พร้อมดูแลประชาชนและเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
นายจุฑาธวัช เพ็งศรี ประธานคณะกรรมการประกันภัยทางทะเลและโลจิสติกส์ กล่าวว่า มาตรการภาษีและการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับคู่ค้าทั่วโลก โดยเฉพาะมาตรการ “ทรัมป์ 2.0” ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำนวนมากจำเป็นต้องเร่งปรับตัว ทั้งการเคลื่อนย้ายสินค้า เปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือ หรือเปลี่ยนท่าเรือปลายทาง (Port Switching) เพื่อลดการพึ่งพาการค้ากับสหรัฐอเมริกา รวมถึงการเร่งนำเข้า-ส่งออกล่วงหน้าในบางช่วงเวลา นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินกลยุทธ์เปลี่ยนถิ่นกำเนิดสินค้า (Change Origin) เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีและข้อจำกัดทางการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและความเสี่ยงใหม่ของระบบการค้าโลก รวมถึงความเสี่ยงใหม่ที่ธุรกิจประกันภัยทางทะเลและโลจิสติกส์ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
“การทำประกันภัยสินค้ากับบริษัทประกันภัยในประเทศ ไม่เพียงเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงของผู้ประกอบการจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หากแต่ยังเป็นกลไกเชิงยุทธศาสตร์ในการสนับสนุนความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์และการค้าโลก การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และการเลือกใช้ประกันภัยอย่างเหมาะสม จะเป็นเกราะป้องกันที่ช่วยเสริมความมั่นคงแก่ธุรกิจไทย และเพิ่มพลังการแข่งขันให้เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งบนเวทีโลก”
นายปิยะพัฒน์ วนอุกฤษฏ์ ประธานคณะกรรมการประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ คาดว่า GDP ไตรมาส 2 จะเติบโต 2.8% ขณะที่ธุรกิจประกันภัยสุขภาพยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องที่ระดับ 8-9% โดยมีปัจจัยสำคัญจากอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) ที่คาดว่าจะเพิ่มสูงถึง 14.3% ส่งผลให้ต้นทุนค่ารักษาพยาบาลปรับตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าบริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ย 878 บาทต่อครั้ง หรือกว่า 3,305 บาทต่อรายต่อปี รวมถึงค่าบริการผู้ป่วยในเฉลี่ยกว่า 20,445 บาทต่อราย สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความจำเป็นในการวางแผนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพที่เหมาะสม ทั้งด้านความคุ้มครองและความยั่งยืน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและรองรับความเสี่ยงทางสุขภาพในอนาคต
“ความท้าทายด้านสุขภาพในอนาคตไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นโจทย์ร่วมของทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ที่ต้องจับมือกันพัฒนาระบบประกันสุขภาพให้ตอบโจทย์ทั้งความคุ้มครองและความมั่นคงของสังคมไทย”

ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวในเวที Executive Talk ภายใต้หัวข้อ “เร่งสร้างนวัตกรรม สู่การเปลี่ยนผ่านธุรกิจประกันภัยที่ยั่งยืนในโลกใหม่” โดยย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับตัวของภาคธุรกิจประกันภัยท่ามกลางบริบทของ “โลกใหม่” ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภาคธุรกิจประกันภัยจึงต้องขับเคลื่อนนวัตกรรมเชิงรุกในทุกด้าน โดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งผู้บริโภคมีความคาดหวังว่าทุกขั้นตอนของบริการต้องสามารถดำเนินการผ่านสมาร์ทโฟนได้อย่างไร้รอยต่อ ทั้งการซื้อประกัน การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน และการติดต่อบริการ
ในขณะเดียวกัน การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI, Big Data, IoT, Sensor, Robotic และ Blockchain ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานของอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่ในรูปแบบ InsurTech สามารถแข่งขันได้ในระดับประเทศ ดังนั้นการเข้าใจความเสี่ยงและปรับตัวได้อย่างรวดเร็วจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจยุคใหม่
ในด้านการประกันภัยรถยนต์ จำเป็นต้องให้ความสำคัญในการจัดทำ “ราคากลาง” ของรถยนต์และค่าซ่อมแซมโดยใช้ระบบ AI และ Big Data เพื่อปรับปรุงราคากลางให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของตลาดในแต่ละช่วงเวลา เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการเสนอเบี้ยประกันภัย และลดข้อโต้แย้งในกระบวนการเคลม
“อุตสาหกรรมประกันภัยไทยอยู่ในจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ซึ่งการปรับตัวสู่ความยั่งยืนไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการปรับเฉพาะผลิตภัณฑ์หรือช่องทางการจัดจำหน่ายเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล การบริหารความเสี่ยงที่ทันสมัย และการให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าการขับเคลื่อนนวัตกรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้ระบบประกันภัยสามารถคงบทบาทสำคัญในการบริหารความเสี่ยงเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว” ดร.สมพร กล่าว
นายฮากีม เบ็ญราฮีม ประธานคณะกรรมการประกันภัยทรัพย์สิน กล่าวถึงสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือพายุรุนแรง แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนา CAT Model (Catastrophe Model) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินความเสี่ยงและความเสียหายจากภัยพิบัติ ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวางแผนรับมือ และสร้างความมั่นใจให้ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน
เหตุการณ์มหาอุทกภัยปี 2554 เป็นบทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า การพึ่งพาข้อมูลในอดีตเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะประเมินความเสี่ยงได้อย่างถูกต้อง การนำ CAT Model เข้ามาใช้จึงถือเป็นการยกระดับการบริหารความเสี่ยงของอุตสาหกรรมประกันภัยไทย โดยไม่เพียงช่วยให้บริษัทประกันภัยกำหนดเบี้ยประกันที่เหมาะสม แต่ยังเป็นข้อมูลเชิงลึกที่ภาครัฐสามารถนำไปใช้ในการวางแผนผังเมือง และช่วยให้ประชาชนตระหนักและเตรียมพร้อมรับมือได้ดียิ่งขึ้น
“การลงทุนใน CAT Model คือการลงทุนเพื่อความปลอดภัยและความยั่งยืนของประเทศ เราต้องร่วมมือกันทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ ภาครัฐ และภาคธุรกิจ เพื่อสร้างแบบจำลองที่ตอบโจทย์บริบทของประเทศไทย โดยเฉพาะภัยพิบัติที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น น้ำท่วมฉับพลัน น้ำหลาก หรือพายุฤดูร้อน การพัฒนา CAT Model อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ระบบประกันภัยไทยแข็งแกร่ง พร้อมดูแลประชาชนและเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
นายจุฑาธวัช เพ็งศรี ประธานคณะกรรมการประกันภัยทางทะเลและโลจิสติกส์ กล่าวว่า มาตรการภาษีและการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับคู่ค้าทั่วโลก โดยเฉพาะมาตรการ “ทรัมป์ 2.0” ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำนวนมากจำเป็นต้องเร่งปรับตัว ทั้งการเคลื่อนย้ายสินค้า เปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือ หรือเปลี่ยนท่าเรือปลายทาง (Port Switching) เพื่อลดการพึ่งพาการค้ากับสหรัฐอเมริกา รวมถึงการเร่งนำเข้า-ส่งออกล่วงหน้าในบางช่วงเวลา นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินกลยุทธ์เปลี่ยนถิ่นกำเนิดสินค้า (Change Origin) เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีและข้อจำกัดทางการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและความเสี่ยงใหม่ของระบบการค้าโลก รวมถึงความเสี่ยงใหม่ที่ธุรกิจประกันภัยทางทะเลและโลจิสติกส์ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
“การทำประกันภัยสินค้ากับบริษัทประกันภัยในประเทศ ไม่เพียงเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงของผู้ประกอบการจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หากแต่ยังเป็นกลไกเชิงยุทธศาสตร์ในการสนับสนุนความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์และการค้าโลก การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และการเลือกใช้ประกันภัยอย่างเหมาะสม จะเป็นเกราะป้องกันที่ช่วยเสริมความมั่นคงแก่ธุรกิจไทย และเพิ่มพลังการแข่งขันให้เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งบนเวทีโลก”
นายปิยะพัฒน์ วนอุกฤษฏ์ ประธานคณะกรรมการประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ คาดว่า GDP ไตรมาส 2 จะเติบโต 2.8% ขณะที่ธุรกิจประกันภัยสุขภาพยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องที่ระดับ 8-9% โดยมีปัจจัยสำคัญจากอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) ที่คาดว่าจะเพิ่มสูงถึง 14.3% ส่งผลให้ต้นทุนค่ารักษาพยาบาลปรับตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าบริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ย 878 บาทต่อครั้ง หรือกว่า 3,305 บาทต่อรายต่อปี รวมถึงค่าบริการผู้ป่วยในเฉลี่ยกว่า 20,445 บาทต่อราย สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความจำเป็นในการวางแผนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพที่เหมาะสม ทั้งด้านความคุ้มครองและความยั่งยืน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและรองรับความเสี่ยงทางสุขภาพในอนาคต
“ความท้าทายด้านสุขภาพในอนาคตไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นโจทย์ร่วมของทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ที่ต้องจับมือกันพัฒนาระบบประกันสุขภาพให้ตอบโจทย์ทั้งความคุ้มครองและความมั่นคงของสังคมไทย”