PTG ธุรกิจ Non-Oil หนุนแรง โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11 บาท ชูกาแฟพันธุ์ไทยเติบโตโดดเด่น
โบรกเกอร์แนะนำ “ซื้อ” หุ้น PTG เคาะราคาเป้าหมายสูงสุด 11.00 บาท/หุ้น คาดกำไรปี 68 ทะลุ 1.3 พันล้านบาท ธุรกิจ Non-Oil โตโดดเด่นจากแผนขยายธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย หนุนผลการดำเนินงานเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ยู โอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยแพร่บทวิเคราะห์ หุ้น บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) โดยระบุว่า PTG รายงานกำไรสุทธิครึ่งปีแรกอยู่ที่ 502 ล้านบาท ลดลง 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 56% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่ 900 ล้านบาท ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิปี 2568 ยังคงมีความเป็นไปได้
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 ฝ่ายวิจัยประเมินว่าอาจอ่อนตัวลงตามฤดูกาลจากยอดขายน้ำมันชะลอชั่วคราว แต่ยังคงมองว่ากำไรสุทธิจะทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง จากแรงหนุนเชิงบวกของโครงสร้างธุรกิจที่เริ่มพึ่งพา Non-Oil มากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยยังคงสมมติฐาน Marketing Margin ปี 2568-2569 ไว้ที่ 1.65 บาทต่อลิตร ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ถือ” ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 11.00 บาทต่อหุ้น (เดิม 6.7 บาท) อ้างอิง P/E เฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง 20 เท่า
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประมาณการกำไรปี 2568 ของ PTG ไว้ที่ 1.3 พันล้านบาท แต่อาจจะมี Downside จากค่าใช้จ่ายที่เร่งตัวขึ้นสูงกว่าคาด รวมถึงปริมาณขายน้ำมันที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่อย่างไรก็ดีในธุรกิจ Non-Oil มีการเติบโตดีและบริษัทฯ มีแผนจะเร่งขยายธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยมากกว่าที่ตั้งไว้ ฝ่ายวิจัยจึงคงราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 11 บาท อิง Avg PER ที่ 14.5 เท่า และคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร”
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า PTG ยังคงเน้นเดินหน้าขยายธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย โดยปี 2568 ตั้งเป้าขยายสาขาเป็น 1,947 สาขา จากเดิมปี 2567 อยู่ที่ 1,347 สาขา โดยช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1,642 สาขา ทำให้ยอดขายธุรกิจ Non-Oil ครึ่งปีแรกโต 62.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยที่มีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 125%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้บริษัทฯ มีการปรับเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจ Non-Oil จากเดิมตั้งเป้าเติบโต 40-50% เป็น 50-60% จากปีก่อน เช่นเดียวกับสัดส่วนของกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil ปรับเพิ่มจากเดิมที่ 30-35% ของกำไรขั้นต้นรวมเป็น 35-40%
ขณะที่ธุรกิจ Oil มีการปรับเป้าหมายลง เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่ฟื้นตัวช้า โดยปรับเป้าลงเหลือการเติบโตที่ 1-3% จากปีก่อนจากช่วงไตรมาส1/2568 ที่ตั้งเป้าเติบโต 5-10 จากปีก่อน ด้าน EBITDA ยังคงเป้าการเติบโตที่ 8-12% จากปีก่อน จากการเติบโตของธุรกิจ Non-Oil เป็นหลัก ซึ่งคาดกำไรปี 2568 ที่ 1.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน
ทั้งนี้ โดยรวมธุรกิจ Oil อาจต้องรอปัจจัยหนุนที่ชัดเจนในประเด็นของค่าการตลาดที่อาจขยับขึ้นมาได้ จากการที่ฐานะเงินกองทุนน้ำมันปรับตัวดีขึ้น โดย ณ วันที่ 24 ส.ค.2568 ฐานะเงินกองทุนในส่วนน้ำมันสุทธิอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะช่วยหนุนให้การปรับค่าการตลาดดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวยังมีมุมมองเป็นบวกต่อการขยายธุรกิจ Non-Oil โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยที่ได้มีการปรับเป้าการเติบโตขึ้น และเป็น Upside ต่อผลประกอบการในปี 2568 สำหรับมุมมองการลงทุนระยะยาวยังคง แนะนำ “ซื้อ” แต่เนื่องจากราคาปรับตัวขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว การเข้าลงทุนอาจรอจังหวะราคาอ่อนตัวแล้วทยอยเข้าสะสมได้ โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 10.20 บาทต่อหุ้น