TCMC เผยไตรมาส 2/68 ธุรกิจแข็งแกร่งขึ้น EBITDA พลิกฟื้น ชูทิศทางกลุ่มธุรกิจพรมมีสัญญาณที่ดีในครึ่งปีหลัง พร้อมการปรับแนวทางการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจในอังกฤษตามสภาวะตลาด
ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน (TCM Corporation) หรือ TCMC เผยผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 โดยมีรายได้จากการขายและบริการรวม 1.2 พันล้านบาท โดยปัจจัยหลักยังคงเป็นผลกระทบจากกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ (TCM Living) ยังต้องเผชิญความซบเซาจากตลาดเฟอร์นิเจอร์ในสหราชอาณาจักร ส่งผลกระทบให้กลุ่มธุรกิจดังกล่าวมีรายได้ลดลง แม้ว่ากลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิว (TCM Surface) และ กลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ (TCM Automotive) จะมีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงนอกฤดูกาลขาย
นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TCMC) เปิดเผยว่า บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (เรียกรวมกันว่า “กลุ่มบริษัท”) มีรายได้จากการขายและบริการในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 จำนวน 1,271.36 ล้านบาท แม้จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 13.32 แต่ EBITDA หรือ (กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) อยู่ที่ 73.26 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 1,145 จากปีก่อน ขณะเดียวกันผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 219.14 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 116.14 ล้านบาท โดยปัจจัยการปรับตัวดังกล่าวมาจากการเติบโตที่แข็งแกร่งในตลาดสหรัฐอเมริกาของกลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิว (TCM Surface) และกลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ (TCM Automotive) มีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นจากยอดขายและยอดผลิตรถยนต์ในประเทศที่ชะลอตัวมาอย่างยาวนาน โดยคาดว่าจะฟื้นตัวและพลิกทำกำไรในช่วงครึ่งปีหลังจากปัจจัยสภาวะตลาดที่ฟื้นตัว ซึ่งการเติบโตในไตรมาสนี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลการดำเนินงานที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ บริษัทจึงได้มีการทบทวนการตั้งด้อยค่าค่าความนิยมของกิจการเพิ่มเติมจากช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา โดยดำเนินการควบคู่ไปกับการจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์และรักษาผลการดำเนินงานในช่วงสภาวะตลาดที่ท้าทายนี้
นางสาวปิยพร กล่าวต่อไปว่า ในช่วงไตรมาสสองของปี 2568 กลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ (TCM Living) เผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจอังกฤษถดถอยและค่าครองชีพสูง ทำให้รายได้ลดลงร้อยละ 36.09 แต่ทว่าแม้รายได้จะลดลงแต่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นอย่างโดดเด่น โดยเพิ่มจากร้อยละ 15.65 ในปีก่อนเป็นร้อยละ 18.78 โดยเป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์และการปรับลดต้นทุนในทุกกระบวนการ ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ต้นปี 2567 และออกแบบมาเพื่อรองรับยอดขายที่คาดว่าจะลดลงโดยเฉพาะ ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารทั้งหมดลดลงเหลือ 119.59 ล้านบาท จาก 186.34 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้จากความท้าทายของสภาพเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อยอดขายและต้นทุนของบริษัทจึงได้มีการทบทวนการตั้งด้อยค่าค่าความนิยมที่เกิดจากการเข้าซื้อกิจการที่ประเทศอังกฤษ เพิ่มอีกจำนวน 149.24 ล้านบาท โดยเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้ กลุ่มธุรกิจมีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 224.40 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 112.44 จากผลขาดทุนสุทธิ 105.63 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งหากดูเฉพาะที่ EBITDA ซึ่งปรับตัวดีขึ้นถึงร้อยละ 85.15 แสดงถึงความคืบหน้าของการเพิ่มประสิทธิภาพแม้เผชิญสภาวะตลาดท้าทาย
แต่ทั้งนี้ เนื่องจากมีภาระหนี้สินและสภาพตลาดยังคงไม่เอื้ออำนวย ฝ่ายบริหารจึงตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นการสนับสนุนทางบริษัท Alstons ต่อไป และจำเป็นที่จะต้องยุติการสนับสนุนสองบริษัทย่อย ได้แก่ Ashley Manor และ Alexander & James โดยการยื่นแสดงความจำนงขอผู้บริหารแผน (Prepack Administration) ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติในประเทศอังกฤษ โดยบริษัทสามารถดำเนินการขายธุรกิจหรือสินทรัพย์หลักที่สำคัญให้กับผู้ซื้อที่ได้เจรจาไว้ล่วงหน้า ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งผู้บริหารแผนอย่างเป็นทางการ เพื่อจัดสรรหนี้สินที่ยังคงค้าง ชำระคืนให้เจ้าหนี้ตามลำดับสิทธิตามกฎหมายของสหราชอาณาจักร ซึ่งบริษัทจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบในลำดับถัดไป การเข้ากระบวนการนี้ จะทำให้บริษัทต้องตั้งด้อยค่าเงินลงทุนและค่าความนิยมของกิจการ แต่ในขณะเดียวกัน จะช่วยให้บริษัทสามารถพยุงกิจการ Alstons ที่ยังสามารถดำเนินการได้ดี ซึ่งคาดหวังว่าจะสามารถกลับมาทำกำไรได้เมื่อสภาพตลาดฟื้นตัว
ด้านกลุ่มธุรกิจกลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิว (TCM Surface) ในไตรมาสที่ผ่านมา มีรายได้จากการขาย 615.64 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.88 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยบวกมาจากการเติบโตของการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 39.7 ของรายได้ทั้งหมด โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 31.3 ในปีก่อน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของกลุ่มธุรกิจในการบรรลุยอดขายที่สูงขึ้น แม้ว่าไตรมาสที่ 2 จะยังอยู่นอกฤดูกาลขาย และ จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนค่าขนส่ง ค่าแรง และค่าวัตถุดิบที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นอีกร้อยละ 10 ในไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์การลดผลกระทบ โดยเจรจากับลูกค้าและปรับราคาผลิตภัณฑ์อย่างเหมาะสม มาตรการเหล่านี้ช่วยให้กลุ่มธุรกิจสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งไว้ได้ที่ร้อยละ 40.31 สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้ มีการบริหารจัดการที่ดีส่งผลให้ EBITDA อยู่ที่ 53.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 83.94 แสดงให้เห็นถึงการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีภายในธุรกิจ
ด้านกลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ (TCM Automotive) มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.96 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับปัจจัยบวกจากอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยที่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 โดยยอดขายรถยนต์ในเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2568 มีแนวโน้มดีขึ้นและเติบโตขึ้น ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในไตรมาส 2 ปี 2567 เมื่อเทียบกับยอดขาย สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย โดยเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายจากส่วนกลาง ต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้ ทำให้กลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์มีผลกำไรสุทธิ 11.06 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.04 ของยอดขาย สูงกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10.77 ล้านบาท โดยมี EBITDA 27.25 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 4.8 ซึ่งจากทิศทางดังกล่าวมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นจากยอดขายและยอดผลิตรถยนต์ในประเทศที่ชะลอตัวมาอย่างยาวนาน
สำหรับฐานะทางการเงินของ TCMC กลุ่มบริษัทยังคงมีสภาพคล่องที่อยู่ในระดับดี โดยมีอัตราส่วนสภาพคล่องทั่วไปอยู่ที่ 1.07 เท่า และอัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเร็วอยู่ที่ 0.63 เท่า ซึ่งต่ำกว่า ณ สิ้นปี 2567 ที่อยู่ที่ 1.12 เท่า และ 0.74 เท่าตามลำดับ สะท้อนว่ากลุ่มบริษัทยังคงมีสภาพคล่องที่ดี โดยมีอัตราการหมุนเวียนลูกหนี้การค้าดีขึ้นจาก 5.73 เท่าเป็น 6.83 เท่า ขณะที่สินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน ลดลงจากวันสิ้นปี 2567 จำนวน 313.24 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.72 มีหนี้สินรวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 ลดลงจากวันสิ้นปี 2567 จำนวน 38.56 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.78 พร้อมกันนี้กลุ่มบริษัทยังมีรายได้อื่นจำนวน 10.12 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากดอกเบี้ยรับ ค่าเช่า ค่าขายสินทรัพย์ เศษซาก ฯลฯ เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีอยู่ที่ 4.23 ล้านบาท บริษัทมุ่งเน้นการบริหารโครงสร้างหนี้อย่างรอบคอบและต่อเนื่อง เพื่อลดภาระทางการเงินและปรับสมดุลสัดส่วนหนี้สินในระยะยาว อันจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และสร้างความพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต
"ถึงแม้ทิศทางในปี 2568 สภาพเศรษฐกิจจะไม่เอื้ออำนวย บริษัทย่อยในอังกฤษต้องเข้าสู่กระบวนการปิดกิจการ แต่บริษัทที่เหลือยังคงมีศักยภาพที่เข้มแข็งกว่าเดิม พร้อมที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต และสำหรับกลุ่มธุรกิจพรมและวัสดุตกแต่งพื้นผิว บริษัทยังคงตั้งเป้าที่จะรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ควบคู่กับการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันผ่านการลงทุนทั้งในเรื่องบุคลากรและการพัฒนาระบบบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ เพื่อยกระดับคุณค่าและประสบการณ์ของลูกค้า โดยยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องบนเส้นทางความยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงและเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคงในช่วงครึ่งปีหลัง" นางสาวปิยพร กล่าวทิ้งท้าย
ยอดนิยม
_%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%20S2T.jpg)
ค่าเงินบาทวันนี้ 3 ก.ย. 2568

ราคาทองคำวันนี้ 3 ก.ย. 68 ปรับขึ้นต่อเนื่อง
.jpg)
KBank จับมือ SC Asset อสังหาฯ รายแรก หนุนลูกบ้านใช้พลังงานสะอาด พร้อมสร้างรายได้จากโซลาร์ผ่านแพลตฟอร์ม GreenPass
_11zon.jpg)
ออริจิ้น จัดงาน Origin Elite Night Thank You Partyขอบคุณลูกค้า และนักลงทุนคนสำคัญ
