กระดานข่าว

TCMC เผยไตรมาส 2/68 ธุรกิจแข็งแกร่งขึ้น EBITDA พลิกฟื้น ชูทิศทางกลุ่มธุรกิจพรมมีสัญญาณที่ดีในครึ่งปีหลัง พร้อมการปรับแนวทางการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจในอังกฤษตามสภาวะตลาด


03 กันยายน 2568

ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน (TCM Corporation) หรือ TCMC เผยผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 โดยมีรายได้จากการขายและบริการรวม 1.2 พันล้านบาท โดยปัจจัยหลักยังคงเป็นผลกระทบจากกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ (TCM Living) ยังต้องเผชิญความซบเซาจากตลาดเฟอร์นิเจอร์ในสหราชอาณาจักร ส่งผลกระทบให้กลุ่มธุรกิจดังกล่าวมีรายได้ลดลง แม้ว่ากลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิว (TCM Surface) และ กลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ (TCM Automotive) จะมีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงนอกฤดูกาลขาย 

1นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร.jpg

นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TCMC)  เปิดเผยว่า บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (เรียกรวมกันว่า “กลุ่มบริษัท”) มีรายได้จากการขายและบริการในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 จำนวน 1,271.36 ล้านบาท แม้จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 13.32 แต่ EBITDA หรือ (กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) อยู่ที่ 73.26 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 1,145 จากปีก่อน ขณะเดียวกันผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 219.14 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 116.14 ล้านบาท โดยปัจจัยการปรับตัวดังกล่าวมาจากการเติบโตที่แข็งแกร่งในตลาดสหรัฐอเมริกาของกลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิว (TCM Surface) และกลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ (TCM Automotive) มีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นจากยอดขายและยอดผลิตรถยนต์ในประเทศที่ชะลอตัวมาอย่างยาวนาน โดยคาดว่าจะฟื้นตัวและพลิกทำกำไรในช่วงครึ่งปีหลังจากปัจจัยสภาวะตลาดที่ฟื้นตัว ซึ่งการเติบโตในไตรมาสนี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลการดำเนินงานที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ บริษัทจึงได้มีการทบทวนการตั้งด้อยค่าค่าความนิยมของกิจการเพิ่มเติมจากช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา โดยดำเนินการควบคู่ไปกับการจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์และรักษาผลการดำเนินงานในช่วงสภาวะตลาดที่ท้าทายนี้

นางสาวปิยพร กล่าวต่อไปว่า ในช่วงไตรมาสสองของปี 2568 กลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ (TCM Living) เผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจอังกฤษถดถอยและค่าครองชีพสูง ทำให้รายได้ลดลงร้อยละ 36.09 แต่ทว่าแม้รายได้จะลดลงแต่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นอย่างโดดเด่น โดยเพิ่มจากร้อยละ 15.65 ในปีก่อนเป็นร้อยละ 18.78 โดยเป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์และการปรับลดต้นทุนในทุกกระบวนการ ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ต้นปี 2567 และออกแบบมาเพื่อรองรับยอดขายที่คาดว่าจะลดลงโดยเฉพาะ ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารทั้งหมดลดลงเหลือ 119.59 ล้านบาท จาก 186.34 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้จากความท้าทายของสภาพเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อยอดขายและต้นทุนของบริษัทจึงได้มีการทบทวนการตั้งด้อยค่าค่าความนิยมที่เกิดจากการเข้าซื้อกิจการที่ประเทศอังกฤษ เพิ่มอีกจำนวน 149.24 ล้านบาท โดยเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้ กลุ่มธุรกิจมีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 224.40 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 112.44 จากผลขาดทุนสุทธิ 105.63 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งหากดูเฉพาะที่ EBITDA ซึ่งปรับตัวดีขึ้นถึงร้อยละ 85.15 แสดงถึงความคืบหน้าของการเพิ่มประสิทธิภาพแม้เผชิญสภาวะตลาดท้าทาย 

แต่ทั้งนี้ เนื่องจากมีภาระหนี้สินและสภาพตลาดยังคงไม่เอื้ออำนวย ฝ่ายบริหารจึงตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นการสนับสนุนทางบริษัท Alstons ต่อไป และจำเป็นที่จะต้องยุติการสนับสนุนสองบริษัทย่อย ได้แก่ Ashley Manor และ Alexander & James โดยการยื่นแสดงความจำนงขอผู้บริหารแผน (Prepack Administration) ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติในประเทศอังกฤษ โดยบริษัทสามารถดำเนินการขายธุรกิจหรือสินทรัพย์หลักที่สำคัญให้กับผู้ซื้อที่ได้เจรจาไว้ล่วงหน้า ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งผู้บริหารแผนอย่างเป็นทางการ เพื่อจัดสรรหนี้สินที่ยังคงค้าง ชำระคืนให้เจ้าหนี้ตามลำดับสิทธิตามกฎหมายของสหราชอาณาจักร ซึ่งบริษัทจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบในลำดับถัดไป การเข้ากระบวนการนี้ จะทำให้บริษัทต้องตั้งด้อยค่าเงินลงทุนและค่าความนิยมของกิจการ แต่ในขณะเดียวกัน จะช่วยให้บริษัทสามารถพยุงกิจการ Alstons ที่ยังสามารถดำเนินการได้ดี ซึ่งคาดหวังว่าจะสามารถกลับมาทำกำไรได้เมื่อสภาพตลาดฟื้นตัว 

ด้านกลุ่มธุรกิจกลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิว (TCM Surface) ในไตรมาสที่ผ่านมา มีรายได้จากการขาย 615.64 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.88 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยบวกมาจากการเติบโตของการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 39.7 ของรายได้ทั้งหมด โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 31.3 ในปีก่อน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของกลุ่มธุรกิจในการบรรลุยอดขายที่สูงขึ้น แม้ว่าไตรมาสที่ 2 จะยังอยู่นอกฤดูกาลขาย และ จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนค่าขนส่ง ค่าแรง และค่าวัตถุดิบที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นอีกร้อยละ 10 ในไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์การลดผลกระทบ โดยเจรจากับลูกค้าและปรับราคาผลิตภัณฑ์อย่างเหมาะสม มาตรการเหล่านี้ช่วยให้กลุ่มธุรกิจสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งไว้ได้ที่ร้อยละ 40.31 สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้ มีการบริหารจัดการที่ดีส่งผลให้ EBITDA อยู่ที่ 53.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 83.94 แสดงให้เห็นถึงการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีภายในธุรกิจ

ด้านกลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ (TCM Automotive)  มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.96 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับปัจจัยบวกจากอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยที่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 โดยยอดขายรถยนต์ในเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2568 มีแนวโน้มดีขึ้นและเติบโตขึ้น ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในไตรมาส 2 ปี 2567 เมื่อเทียบกับยอดขาย สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย โดยเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายจากส่วนกลาง ต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้ ทำให้กลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มเบาะรถยนต์มีผลกำไรสุทธิ 11.06 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.04 ของยอดขาย สูงกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10.77 ล้านบาท โดยมี EBITDA 27.25 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 4.8 ซึ่งจากทิศทางดังกล่าวมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นจากยอดขายและยอดผลิตรถยนต์ในประเทศที่ชะลอตัวมาอย่างยาวนาน

สำหรับฐานะทางการเงินของ TCMC กลุ่มบริษัทยังคงมีสภาพคล่องที่อยู่ในระดับดี โดยมีอัตราส่วนสภาพคล่องทั่วไปอยู่ที่ 1.07 เท่า และอัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเร็วอยู่ที่ 0.63 เท่า ซึ่งต่ำกว่า ณ สิ้นปี 2567 ที่อยู่ที่ 1.12 เท่า และ 0.74 เท่าตามลำดับ สะท้อนว่ากลุ่มบริษัทยังคงมีสภาพคล่องที่ดี โดยมีอัตราการหมุนเวียนลูกหนี้การค้าดีขึ้นจาก 5.73 เท่าเป็น 6.83 เท่า ขณะที่สินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน ลดลงจากวันสิ้นปี 2567 จำนวน 313.24 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.72 มีหนี้สินรวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 ลดลงจากวันสิ้นปี 2567 จำนวน 38.56 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.78 พร้อมกันนี้กลุ่มบริษัทยังมีรายได้อื่นจำนวน 10.12 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากดอกเบี้ยรับ ค่าเช่า ค่าขายสินทรัพย์ เศษซาก ฯลฯ เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีอยู่ที่ 4.23  ล้านบาท บริษัทมุ่งเน้นการบริหารโครงสร้างหนี้อย่างรอบคอบและต่อเนื่อง เพื่อลดภาระทางการเงินและปรับสมดุลสัดส่วนหนี้สินในระยะยาว อันจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และสร้างความพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต

"ถึงแม้ทิศทางในปี 2568 สภาพเศรษฐกิจจะไม่เอื้ออำนวย บริษัทย่อยในอังกฤษต้องเข้าสู่กระบวนการปิดกิจการ แต่บริษัทที่เหลือยังคงมีศักยภาพที่เข้มแข็งกว่าเดิม พร้อมที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต และสำหรับกลุ่มธุรกิจพรมและวัสดุตกแต่งพื้นผิว บริษัทยังคงตั้งเป้าที่จะรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ควบคู่กับการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันผ่านการลงทุนทั้งในเรื่องบุคลากรและการพัฒนาระบบบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ เพื่อยกระดับคุณค่าและประสบการณ์ของลูกค้า โดยยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องบนเส้นทางความยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงและเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคงในช่วงครึ่งปีหลัง"  นางสาวปิยพร กล่าวทิ้งท้าย