กระดานข่าว

NUT ดันกลยุทธ์ “NUT Voice” ผสานเทคโนโลยี-Big Data เสริมแกร่งธุรกิจ


02 กันยายน 2568

NUT เผยทิศทางธุรกิจไตรมาส 3/2568 เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ต่อยอดนวัตกรรม เสริมทัพแข็งแกร่งช่องทางอีคอมเมิร์ซ ชูจุดแข็งฐานลูกค้ากว่า 1.4 ล้านราย พร้อมดันกลยุทธ์ NUT Voice” ปฏิวัติการสื่อสาร มุ่งใช้ฐานข้อมูล Big Data ยกระดับการสื่อสารและบริการตรงจุด เพิ่มปริมาณกลุ่มลูกค้าซื้อประจำ มั่นใจรายได้เติบโตตามเป้าหมาย พร้อมปัจจัยภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสนับสนุน

S__22732886.jpg

นายภาคิณ กิตติภานุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นูทริชั่น โปรเฟส จำกัด (มหาชน) หรือ NUT ผู้นำด้านการพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารครบวงจร เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานช่วงไตรมาส 3/2568 เดินหน้าตามแผนขยายธุรกิจภายหลังจากการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอาง พร้อมทั้งเสริมความแข็งแกร่งของช่องทางการขายดิจิทัล และการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อผลักดันการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยมั่นใจว่าจุดแข็งของบริษัทในด้านการผลิตด้วยโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้มาตรฐาน การดำเนินงานแบบครบวงจร และ ความเชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัล จะช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และ ตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว 

ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงสร้างความแข็งแกร่งผ่านฐานลูกค้ากว่า 1.41 ล้านราย โดยมีสัดส่วนลูกค้าที่ซื้อซ้ำในระดับสูงราว 60% ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าและการให้บริการ พร้อมทั้งพัฒนาโครงการ “NUT Voice” การปฏิวัติการสื่อสารด้วยการนำเทคโนโลยีสนับสนุนธุรกิจ โดยการนำข้อมูลจากฐานลูกค้าที่มีอยู่ (Big Data) มาวิเคราะห์เพื่อต่อยอดกิจกรรมทางการตลาด และ การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อยกระดับการจัดการฐานลูกค้าและสร้างมาตรฐานการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มความพึงพอใจในการบริการ เพิ่มปริมาณกลุ่มลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำ สามารถลดต้นทุนการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ การจ้างงานและอบรมพนักงงาน รวมถึงเป็นการยกระดับคุณภาพบริการของบริษัทในระยะยาว

ด้านภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยนิยมซื้อสินค้าในช่องทางดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ส่งผลให้ยอดการสั่งซื้อดังกล่าวมีแนวโน้มเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม TikTok Shop ที่มีอัตราการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม รวมถึงบริษัทด้วย ขณะที่ตลาดในประเทศไทยในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตถึง 8.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากปัจจัยผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพเชิงป้องกัน และ การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยการขับเคลื่อนของตลาด โดยคาดว่าประชากรกลุ่มนี้จะมีมากกว่า 20% ในอีก 5 ปีข้างหน้า

“บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนการดำเนินงานวางไว้อย่างจริงจัง ทั้งด้านการผลิต การพัฒนาสูตร และ นวัตกรรมใหม่ๆ การพัฒนาแผนการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ รวมถึงวางแผนการประชาสัมพันธ์สินค้า  ด้วยการนำเทคโนโลยีและการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด ซึ่งบริษัทได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน เรามุ่งมั่นในการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง จากการดำเนินงานด้วยความตั้งใจ และ ภาพรวมอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตเป็นปัจจัยสนับสนุน ทำให้มั่นใจว่าบริษัทจะสามารถสร้างการเติบโตที่มั่นคง และ สร้างผลการดำเนินงานที่ดีเพื่อตอบแทนนักลงทุนที่ให้ความเชื่อมั่นได้อย่างแน่นอน” นายภาคิณ กล่าว

ด้านผลประกอบการไตรมาส 2/2568 บริษัทมีรายได้จากการขาย 239.49 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิ 14.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93.76% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรก 2568 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 529.45 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 43.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.64% จากปีก่อน พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดในอัตรา 0.35 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 5 กันยายน 2568