Talk of The Town

ดร.นิเวศน์ ไม่เล่นหุ้น “เก็งกำไร” ไม่ใช้มาร์จิ้น ชี้กำลังปรับพอร์ต เน้นกระจายการลงทุน “ทั่วโลก”


02 กันยายน 2568

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ได้เผยแพร่บทความผ่าน www.settrade.com หัวข้อ บริหารหุ้น VS บริหารสุขภาพ ซึ่งในส่วนของการบริหารหุ้นมีความน่าสนใจอย่างมาก เพราะ ดร.นิเวศน์ ระบุว่า กำลังเปลี่ยนแปลงการจัดการลงทุนของผมครั้งใหญ่คือ  จะไปลงทุน “ทั่วโลก”  

ดร.นิเวศน์  ไม่เล่นหุ้น “เก็งกำไร”_S2T (เว็บ)_0.jpg

โดยรายละเอียดในส่วนของการ บริหารหุ้น ดร.นิเวศน์ เปิดเผยว่า ในเรื่องของการลงทุนนั้น ผมคิดว่ามีความคล้ายคลึงกับเรื่องของสุขภาพในหลาย ๆ ประเด็น เริ่มตั้งแต่การที่ผมเชื่อว่าโชค” มีผลต่อผลตอบแทนการลงทุนของผมค่อนข้างมาก 

ส่วนการจัดการหรือการบริหารการลงทุนนั้น แน่นอน ก็เป็นส่วนสำคัญ แต่เป็นประเด็นว่าเราจะ “ทำผิด” ไม่ได้ ถ้าทำผิดจากที่ควรเป็น  ผลตอบแทนอาจจะเลวร้ายหรือถึงหายนะได้  คล้าย ๆ กับเรื่องของสุขภาพที่ว่า  ถ้าคุณสูบบุหรี่  ต่อให้คุณออกกำลังและดูแลสุขภาพแค่ไหน  มันก็ไปไม่รอด

ความ “โชคดี” ของการลงทุนของผมคงอยู่ที่ว่า ผมได้เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังโตสุดยอดและบริษัทจดทะเบียนรุ่นใหม่ที่ขยายตัวขึ้นและเอาชนะบริษัทรุ่นเก่าที่กำลังถูกทำลาย โดยที่บริษัทผู้ชนะสามารถสร้างป้อมปราการปกป้องตนเองในระหว่างที่ธุรกิจขยายตัวขึ้นและกลายเป็น  “ซุปเปอร์สต็อก” หรือหุ้นที่มีค่ามาก  วัดจากค่า PE ที่สูงลิ่ว  และนั่นก็คือ  สถานการณ์ที่เรียกว่าเป็นตลาดหุ้นยุค VI” ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ผม  ที่โชคดี  แต่เป็นกลุ่ม “นักลงทุน VI” แทบทั้งหมด  ที่ทำผลงานการลงทุนติด “ระดับโลก” ในยุคนั้น

การบริหารการลงทุนของผมเองนั้น ก็คล้าย ๆ กับเรื่องของสุขภาพ ผมไม่ได้ทำอะไรซับซ้อน พูดง่าย ๆ ไม่มีสูตรลับหรือความสามารถพิเศษ  ผมแทบไม่เคยไป  “พลิกหินทุกก้อน”  เพื่อค้นหาหุ้นมหัศจรรย์  ผมไปเยี่ยมบริษัทน้อยมากและไม่เคยไปงาน Company Visit หรือพบผู้บริหารจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์เลย ที่ทำตลอดก็คือการเดินช็อปปิ้งตามห้างและร้านค้าต่าง ๆ  เหมือนกับคนทั่วไป  เพียงแต่ผมจะคิดไปด้วยว่าสินค้านั้นเป็นของบริษัทจดทะเบียนไหน  และมันดีแค่ไหน  ราคาของหุ้นเป็นอย่างไร  ผมอยากจะเป็นเจ้าของบริษัทหรือไม่

ผมจะเลือกบริษัทหรือหุ้นที่ดีระดับต้น ๆ ของประเทศ  ที่ไม่มีใครสามารถแข่งขันได้และซื้อได้ในราคาที่ค่อนข้างถูก  คือค่า PE ไม่สูงเกินไปเทียบกับหุ้นทั่วไปในตลาดและในอุตสาหกรรมเดียวกัน  จำนวนบริษัทที่ถือก็ประมาณ 5-6 ตัวหลัก ๆ  เก็บไว้โดยแทบไม่ต้องทำอะไร  แต่ทุกไตรมาสก็ต้องคอยดูผลประกอบการและธุรกิจว่ายังดีขึ้นหรือดีเหมือนเดิมไหม  ถ้าใช่ก็ถือต่อไป  ถ้าไม่ใช่ก็อาจจะต้องเปลี่ยน แต่กรณีหลังนั้นมักจะเกิดไม่บ่อย  เพราะหุ้นหรือบริษัทที่ดีจริงนั้น  จะไม่แย่ลงง่าย ๆ 

ผมลงทุนระยะยาวมาก แทบจะตลอดชีวิต  ตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง ผมไม่ค่อยสนใจ ผมสนใจว่าหุ้นหรือพอร์ตของผมควรจะขึ้นมากกว่าลงนับเป็นรายปี  ผมสนใจว่ามูลค่าปันผลแต่ละปีของผมควรจะขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกปีแบบช้า ๆ  

ผมไม่สนใจที่จะเข้าไปเล่นหุ้น  “เก็งกำไร” ที่มักจะขึ้นลงแรงมาก บางทีเป็นเท่า ๆ  ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ผมไม่สนใจที่จะใช้มาร์จินหรือการกู้เงินมาลงทุนซื้อหุ้น  ผมไม่ต้องการผลตอบแทนที่สูงมากในบางช่วงแต่ต้องเสี่ยงมากถ้าเกิดเหตุการณ์เลวร้าย

เป้าหมายการลงทุนของผมก็คือ  ได้ผลตอบแทนปีละ 10% แบบทบต้นในช่วงที่เข้าตลาดหุ้นใหม่ ๆ แต่ในระยะหลังนี้ผมคิดว่าน่าจะลดลงเหลือ 7% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของไทยถดถอยลงมาก  และบริษัทจดทะเบียนก็โตช้าลงมากหรือแทบไม่โตเลย

ว่าที่จริงผมกำลังเปลี่ยนแปลงการจัดการลงทุนของผมครั้งใหญ่คือ จะไปลงทุน “ทั่วโลก” เนื่องจากตลาดโลกของการลงทุนเปิดกว้างมา  นักลงทุนแทบทุกคนก็สามารถไปลงทุนได้  บางที อีกซัก 10 ปี  ผมคงมาเล่าได้ว่าผมจัดการอย่างไรและผลลัพธ์คืออะไร