ดร.นิเวศน์ ไม่เล่นหุ้น “เก็งกำไร” ไม่ใช้มาร์จิ้น ชี้กำลังปรับพอร์ต เน้นกระจายการลงทุน “ทั่วโลก”
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ได้เผยแพร่บทความผ่าน www.settrade.com หัวข้อ บริหารหุ้น VS บริหารสุขภาพ ซึ่งในส่วนของการบริหารหุ้นมีความน่าสนใจอย่างมาก เพราะ ดร.นิเวศน์ ระบุว่า กำลังเปลี่ยนแปลงการจัดการลงทุนของผมครั้งใหญ่คือ จะไปลงทุน “ทั่วโลก”
โดยรายละเอียดในส่วนของการ บริหารหุ้น ดร.นิเวศน์ เปิดเผยว่า ในเรื่องของการลงทุนนั้น ผมคิดว่ามีความคล้ายคลึงกับเรื่องของสุขภาพในหลาย ๆ ประเด็น เริ่มตั้งแต่การที่ผมเชื่อว่า “โชค” มีผลต่อผลตอบแทนการลงทุนของผมค่อนข้างมาก
ส่วนการจัดการหรือการบริหารการลงทุนนั้น แน่นอน ก็เป็นส่วนสำคัญ แต่เป็นประเด็นว่าเราจะ “ทำผิด” ไม่ได้ ถ้าทำผิดจากที่ควรเป็น ผลตอบแทนอาจจะเลวร้ายหรือถึงหายนะได้ คล้าย ๆ กับเรื่องของสุขภาพที่ว่า ถ้าคุณสูบบุหรี่ ต่อให้คุณออกกำลังและดูแลสุขภาพแค่ไหน มันก็ไปไม่รอด
ความ “โชคดี” ของการลงทุนของผมคงอยู่ที่ว่า ผมได้เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังโตสุดยอดและบริษัทจดทะเบียนรุ่นใหม่ที่ขยายตัวขึ้นและเอาชนะบริษัทรุ่นเก่าที่กำลังถูกทำลาย โดยที่บริษัทผู้ชนะสามารถสร้างป้อมปราการปกป้องตนเองในระหว่างที่ธุรกิจขยายตัวขึ้นและกลายเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” หรือหุ้นที่มีค่ามาก วัดจากค่า PE ที่สูงลิ่ว และนั่นก็คือ สถานการณ์ที่เรียกว่าเป็น “ตลาดหุ้นยุค VI” ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ผม ที่โชคดี แต่เป็นกลุ่ม “นักลงทุน VI” แทบทั้งหมด ที่ทำผลงานการลงทุนติด “ระดับโลก” ในยุคนั้น
การบริหารการลงทุนของผมเองนั้น ก็คล้าย ๆ กับเรื่องของสุขภาพ ผมไม่ได้ทำอะไรซับซ้อน พูดง่าย ๆ ไม่มีสูตรลับหรือความสามารถพิเศษ ผมแทบไม่เคยไป “พลิกหินทุกก้อน” เพื่อค้นหาหุ้นมหัศจรรย์ ผมไปเยี่ยมบริษัทน้อยมากและไม่เคยไปงาน Company Visit หรือพบผู้บริหารจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์เลย ที่ทำตลอดก็คือการเดินช็อปปิ้งตามห้างและร้านค้าต่าง ๆ เหมือนกับคนทั่วไป เพียงแต่ผมจะคิดไปด้วยว่าสินค้านั้นเป็นของบริษัทจดทะเบียนไหน และมันดีแค่ไหน ราคาของหุ้นเป็นอย่างไร ผมอยากจะเป็นเจ้าของบริษัทหรือไม่
ผมจะเลือกบริษัทหรือหุ้นที่ดีระดับต้น ๆ ของประเทศ ที่ไม่มีใครสามารถแข่งขันได้และซื้อได้ในราคาที่ค่อนข้างถูก คือค่า PE ไม่สูงเกินไปเทียบกับหุ้นทั่วไปในตลาดและในอุตสาหกรรมเดียวกัน จำนวนบริษัทที่ถือก็ประมาณ 5-6 ตัวหลัก ๆ เก็บไว้โดยแทบไม่ต้องทำอะไร แต่ทุกไตรมาสก็ต้องคอยดูผลประกอบการและธุรกิจว่ายังดีขึ้นหรือดีเหมือนเดิมไหม ถ้าใช่ก็ถือต่อไป ถ้าไม่ใช่ก็อาจจะต้องเปลี่ยน แต่กรณีหลังนั้นมักจะเกิดไม่บ่อย เพราะหุ้นหรือบริษัทที่ดีจริงนั้น จะไม่แย่ลงง่าย ๆ
ผมลงทุนระยะยาวมาก แทบจะตลอดชีวิต ตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง ผมไม่ค่อยสนใจ ผมสนใจว่าหุ้นหรือพอร์ตของผมควรจะขึ้นมากกว่าลงนับเป็นรายปี ผมสนใจว่ามูลค่าปันผลแต่ละปีของผมควรจะขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกปีแบบช้า ๆ
ผมไม่สนใจที่จะเข้าไปเล่นหุ้น “เก็งกำไร” ที่มักจะขึ้นลงแรงมาก บางทีเป็นเท่า ๆ ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ผมไม่สนใจที่จะใช้มาร์จินหรือการกู้เงินมาลงทุนซื้อหุ้น ผมไม่ต้องการผลตอบแทนที่สูงมากในบางช่วงแต่ต้องเสี่ยงมากถ้าเกิดเหตุการณ์เลวร้าย
เป้าหมายการลงทุนของผมก็คือ ได้ผลตอบแทนปีละ 10% แบบทบต้นในช่วงที่เข้าตลาดหุ้นใหม่ ๆ แต่ในระยะหลังนี้ผมคิดว่าน่าจะลดลงเหลือ 7% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของไทยถดถอยลงมาก และบริษัทจดทะเบียนก็โตช้าลงมากหรือแทบไม่โตเลย
ว่าที่จริงผมกำลังเปลี่ยนแปลงการจัดการลงทุนของผมครั้งใหญ่คือ จะไปลงทุน “ทั่วโลก” เนื่องจากตลาดโลกของการลงทุนเปิดกว้างมา นักลงทุนแทบทุกคนก็สามารถไปลงทุนได้ บางที อีกซัก 10 ปี ผมคงมาเล่าได้ว่าผมจัดการอย่างไรและผลลัพธ์คืออะไร
ยอดนิยม
_0.jpg)
หุ้นค้าปลีกคึกหนัก! เทรดบนความหวังเลือกตั้งเร็วกว่าคาด? โบรกฯ ชู CPALL เด่นสุดในกลุ่ม
%20copy_0.jpg)
ทองคำวิ่งไม่หยุด! ทุบสถิติใหม่ นักลงทุนแห่ซื้อ รับแรงหนุนทรัมป์–เฟด ผู้เชี่ยวชาญชี้อยู่ในช่วง Bull Run แนะถือยาว
%20copy_0.jpg)
การเมืองความเสี่ยงรอบด้าน โบรกฯ ชี้ หาก “ประชาชน” ไม่โหวต เข้าทาง “ประยุทธ์” หวนเป็นนายกฯ
_0.jpg)
เปิดสถิติหุ้นไทย 5 ปีย้อนหลัง เดือนก.ย.ดัชนีวูบเกิน 2% โบรกฯหวั่นการเมืองไม่ชัด ฉุดวอลุ่มหาย
%20copy_0.jpg)