Lotus's และ BigC 2 ห้างค้าปลีกชื่อดัง และถือเป็นคู่แข่งรายสำคัญของกันและกัน ล่าสุดรายงานผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568 ออกมาได้อย่างน่าสนใจ
เริ่มกันที่ Lotus's ที่เป็นอีกหนึ่งธุรกิจของ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT โดยในคำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2568 พบว่า ครึ่งปีแรกของปี 2568 กลุ่มธุรกิจค้าปลีก หรือ Lotus's มีรายได้รวมทั้งสิ้น 118,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,063 ล้านบาท หรือ 1.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขายสินค้ารวม 109,954 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,366 ล้านบาท หรือ 2.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ Lotus’s Thailand มีรายได้จากการขายสินค้าเติบโต 1% เป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสินค้าอาหารสด สินค้าพร้อมปรุงและการเติบโตของยอดขาย Omni Channel ในทางเดียวกันกับ Lotus’s Malaysia มียอดขายเพิ่มขึ้น 7.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐที่สนับสนุนการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงกลยุทธ์มุ่งเน้นสินค้าอาหารสด และการเร่งการเติบโตของยอดขาย Omni Channel
สำหรับข้อมูลล่าสุดสิ้นสุด 30 มิ.ย. 2568 Lotus's มีจำนวน สาขารวมกันกว่า 2,570 แห่ง แบ่งออกเป็น Lotus’s Thailand จำนวน 2,500 แห่ง และ Lotus’s Malaysia จำนวน 70 แห่ง
ส่วนไตรมาส 2/2568 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 59,199 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน Lotus’s Thailand ยอดขายเติบโต 0.6% เป็นผลมาจากการเปิดสาขาใหม่ และการเติบโตของยอดขาย Omni Channel อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ Lotus’s Malaysia ยอดขายขยายตัว 7.3% เป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐที่สนับสนุนการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบกับกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการขายสินค้าอาหารสด และการเร่งตัวของยอดขาย Omni Channel
ในไตรมาส 2/2568 กลุ่มธุรกิจค้าปลีกมีกำไรขั้นต้น 9,802 ล้านบาท ลดลง 0.3% ส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 17.8% มาจากสัดส่วนของยอดขายกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่อาหารลดลง เนื่องจากลูกค้ามีความระมัดระวังในการจับจ่ายมากขึ้นท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จำกัด
BigC ครึ่งแรกรายได้ 5.6 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ในฝั่งของ BigC อีกหนึ่งธุรกิจของบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC โดยในคำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2568 พบว่า กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ ที่มี BigC เป็นหนึ่งในธุรกิจหลัก ครึ่งปีแรกของปี 2568 มีรายได้รวม 56,955 ล้านบาท ลดลง 1.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนไตรมาส 2/2568 รายได้รวมในกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ อยู่ที่ 28,418 ล้านบาท ลดลง 3.4% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมาจากรายได้จากการขายสินค้าเท่ากับ 25,327 ล้านบาท ลดลง 3.3% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายสาขาเดิมที่ปรับตัวลดลง 3.2% สาเหตุหลักมาจากปริมาณฝนตกมากผิดปกติในช่วงฤดูร้อน ร่วมกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่ชะลอตัว และผลกระทบชั่วคราวจากการปรับปรุงสาขาขนาดใหญ่หลายแห่งที่ดำเนินการในระหว่างไตรมาส
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ อยู่ที่ 18.1% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับ 18.6%
โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 สาขาขนาดใหญ่ ประกอบด้วย บิ๊กซี ไฮเปอร์มาร์เก็ตในประเทศไทย ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา บิ๊กซี มาร์เก็ตประเทศไทย และบิ๊กซี ฟู้ดเพลส ประเทศไทย และประเทศกัมพูชา จำนวน 209 แห่ง ขณะที่ สาขาขนาดเล็ก ประกอบด้วย บิ๊กซี มินิ ประเทศไทย และประเทศกัมพูชา จำนวน 1,598 แห่ง
สาขารูปแบบอื่น ๆ ประกอบด้วย บิ๊กซี ดีโป้ บิ๊กซี ฟู๊ดเซอร์วิส บิ๊กซี ฮ่องกง ตลาด Open-Air ร้านขายยาเพรียว ร้านกาแฟวาวี และร้านหนังสือเอเชียบุ๊คส์ รวม 303 แห่ง และเครือข่ายร้านค้าโดนใจมีจำนวน 13,816 สาขา
สำรวจทิศทางการเติบโต
แต่ถ้าเข้าไปสำรวจทิศทางการเติบโตของทั้ง 2 แบรนด์ดังกล่าว นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของ CPAXT ว่า ไตรมาส 3/2568 กำไร ของ CPAXT จะยังตกต่ำลงจากไตรมาสก่อนเพราะเป็น low season ของทั้ง MAKRO และ Lotus’s เนื่องจากเป็นฤดูฝนเต็มตัว ซึ่งคาดจะกดดันยอดขายต่อไปอีก แต่น่าจะยังโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามยอดขายที่จะเติบโตขึ้น ตามการขยายสาขาเพิ่มและการเร่งตัวขึ้นของยอดขายออนไลน์
นอกจากนี้ยังคาดหวังการฟื้นตัวของกำไรได้ในไตรมาส 4/68 ที่เป็นช่วง high season ของทั้ง MAKRO และ Lotus’s เพราะปลายปีเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปี ซึ่งผู้บริโภคมักมีการจับจ่ายสูงกว่าช่วงอื่นๆ ประกอบกับเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ส่งเสริมกำลังซื้อในแหล่งท่องเที่ยว และยอดขายของสาขาในพื้นที่ดังกล่าว
ส่วน BigC ในบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน BJC นักวิเคราะห์ค่ายเดียวกันมองว่า แนวโน้มกำไรในไตรมาส 3/68 ของ BJC น่าจะยังชะลอลงจากไตรมาสก่อนจากผลของฤดูกาล ที่ในไตรมาส 3 ของทุกปี จะเป็นจุดต่ำสุดของปี เพราะเป็นช่วงฤดูฝนเต็มไตรมาส ทำให้การออกไปจับจ่ายสินค้านอกบ้านทำได้ลำบากกว่าช่วงอื่นๆ (กดดันยอดขายของ BigC) และในฤดูฝนเป็นช่วงที่อากาศไม่ร้อนจัด คาดกดดันยอดขายของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ทั้งขวดแก้ว และกระป่อง ต่อไปอีก แต่ยังคาดหวังการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนได้ จากฐานกำไรที่ต่ำในไตรมาส 3/67
สรุปจากการประเมินของนักวิเคราะห์ พบว่า ทั้ง Lotus’s และ BigC ในช่วงไตรมาส 3/2568 จะเป็นช่วง low season เนื่องจากเป็นฤดูฝนเต็มตัว ทำให้การออกไปจับจ่ายสินค้านอกบ้านทำได้ลำบากกว่าช่วงอื่นๆ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดจะกดดันยอดขาย ทั้ง Lotus’s และ BigC