โบรกฯ เตือนระวังแรงขาย THAI หลังราคาสะท้อนการเติบโตไปมาก แนะสะสมเมื่อย่อตัวบริเวณ 13 บาท
เกาะติดสถานการณ์บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ที่ราคาหุ้นผันผวนอย่างต่อเนื่อง ปรับตัวลดลงไปแล้ว 2 วันติด ล่าสุดวันนี้ (19 ส.ค. 68) ราคาหุ้นทำจุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 13.80 บาท ก่อนจะฟื้นตัวในแดนบวก
ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า อาจต้องระวังแรงขายที่อาจยังหลงเหลือในหุ้นตัวนี้ระยะสั้น ภายหลังที่ประชุมนักวิเคราะห์ล่าสุดยังไม่ได้พบปัจจัย Catalyst ใหม่ๆที่สนับสนุน Valuation ของหุ้น THAI ที่ ณ ขณะนี้ซื้อขายด้วยระดับค่อนข้าง Premium เมื่อเทียบกับสายการบินอื่นๆในระดับเดียวกัน
ส่วนความเห็นนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) มองว่า จากการที่ราคาหุ้น THAI หลังกลับมาซื้อขายปรับตัวเพิ่มขึ้นมากและสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานที่ประเมินไว้ที่ 9.6 บาท ถึง 33% ทำให้หากมองในแง่พื้นฐานจึงแนะนำ “ขาย”
อย่างไรก็ตามถ้าราคาหุ้นลดลงอีกอาจจะเข้าไปเก็งกำไรได้เพราะผลประกอบการทั้งปีอาจจะออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ได้ หลังกำไรปกติในช่วงครึ่งปีแรก 68 คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของกำไรทั้งปีที่คาดไว้
สำหรับความกังวลถึงการขายหุ้นออกมาของผู้ถือหุ้นที่แปลงสภาพหนี้มา ทาง THAI แจ้งว่าอาจจะมีการเจรจาเพื่อป้องกันการเทขายออกมาหลังจากครบกำหนดห้ามขายในช่วงต้นเดือน ก.พ. 69
ทั้งนี้มีการเข้าประชุมกับผู้บริหารการบินไทยเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังปี 2568 และปี 2569 เบื้องต้นในแง่กำลังการผลิต (ASK) คาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1-3% จากปีก่อน และ 6%จากปีก่อน ตามลำดับ
สาเหตุที่การเติบโตไม่มากนักเนื่องจากแผนการรับเครื่องบินที่ยังมีไม่มากนัก โดยในช่วงครึ่งหลังปี 2568 จะมีการรับเครื่องบินใหม่ 4 ลำ และคืนอีก 1 ลำ โดยมี 2 ลำ (A321Neo) จะเริ่มบินจริงในปี 26 เป็นต้นไป ส่วนปี 26 มีเครื่องใหม่อย่างน้อย 13 ลำ (สุทธิจากที่คืนเครื่องแล้ว)
การได้รับเครื่องรุ่น A321Neo จะทำให้การบินไทยสามารถเพิ่มเส้นทางบินใหม่ที่มีความต้องการแต่ไม่ถึงกับจุดคุ้มทุนของเครื่องบินลำใหญ่เช่นเมืองขนาดเล็กที่อินเดียและจีน ประเทศญี่ปุ่นตอนใต้ เส้นทางใหม่ๆที่อินโดนีเซีย รวมถึงเพิ่มความถี่ในเส้นทางสิงค์โปร์และฮ่องกงได้
สำหรับการบริหารผลตอบแทน (Passenger Yield) คาดว่าจะใกล้เคียงกับช่วงครึ่งปีแรก 2568 ที่ระดับ 2.79 บาท/RPK และรักษาอัตราบรรทุกผู้โดยสารที่ระดับ 78-80% โดยยังเน้นการเติบโตจากตลาดหลักอย่างยุโรปเป็นหลัก
สิ่งที่อาจจะต้องติดตามเพิ่มคือเป้าหมายกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin) ทั้งปีที่ระดับ 21-24% ซึ่งต่ำกว่าต่ำกว่า ช่วงครึ่งปีแรก 2568 ที่ทำได้ 25.5% (อิงจากการคำนวนของ THAI) ทางผู้บริหารให้เหตุผลว่าเกิดจากค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่ในช่วง ช่วงครึ่งปีแรก 2568 ต่ำกว่าปกติและคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 จะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า ราคาหุ้นสะท้อนการเติบโตของกำไรไปมากแล้ว โดยจากราคาหุ้นที่ปรับ ขึ้นร้อนแรงหลังรายงานผลประกอบการ (8 ส.ค.) ประเมินว่าสะท้อนงบไตรมาส 2/68 ที่แข็งแกร่งและแนวโน้มผลประกอบการปี 2568 ที่เติบโตเด่นจสากปีก่อน และทำได้ดีกว่ากลุ่มไปมากแล้ว ทำ ให้ยังคงคำแนะนำ “TRADING” ให้ราคาเป้าหมาย 14 บาทเชิงกลยุทธ์ แนะนำ ทยอยสะสมเมื่อราคาหุ้นย่อตัว บริเวณแนวรับ 13 บาท (แบบบวกลบ)
ยอดนิยม
_0.jpg)
KBANK ประกาศโครงการ “เออร์ลี่รีไทร์” โบรกฯ ชี้หากค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มทุก 5% คาดกระทบกำไร ปี 68 ราว 3.5%
%20copy_0.jpg)
HANN เกิดอะไรขึ้น? ผู้บริหาร 5 รายเทหุ้นตั้งแต่วันแรกเข้าเทรด พบราคาขายสูงสุดที่ 2 บาท
%20copy_0.jpg)
คัดหุ้นปันผลระหว่างกาลสูง เป็นโอกาสสะสม หนีความผันผวน จับตากลุ่มแบงก์ประกาศปลาย ส.ค.นี้
_0.jpg)
ตลาดทองสั่นคลอน! ลุ้นเจรจาสหรัฐ–รัสเซีย ยุติสงครามยูเครน ลดแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย กดราคาทองพักฐาน
%20copy_0.jpg)