Sustainability

อุตฯส่งออก-ในประเทศ 6.5 ล้านล้านจ่ออ่วมรับผลกระทบ “CBAM” และ พ.ร.บ.โลกร้อน GCC แนะองค์กรใหญ่เร่งปรับตัวรับกฎหมายใหม่ก่อนต้นทุนพุ่ง


13 สิงหาคม 2568

6 อุตฯส่งออก จ่อเผชิญต้นทุนพุ่ง หลังสหภาพยุโรปเดินหน้าบังคับใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนหรือ CBAM เข้มข้นขึ้นต่อเนื่อง เตรียมเจอกฎหมายใหม่ “พ.ร.บ.โลกร้อน” บังคับใช้ปี 69 อีกเด้ง คุมเข้มรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมกำหนดหน้าที่เสียภาษีคาร์บอน แก่หลากอุตสาหกรรม 6.5 ล้านล้าน ด้านโกลบอล คาร์บอน คอร์ปอเรชั่น แนะองค์กรเร่งปรับตัวรับกฎหมาย-มาตรการโลกยุคใหม่ ชี้เพิ่มโอกาสลดต้นทุน สร้างรายได้ใหม่จากคาร์บอนเครดิต แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมยั่งยืน

03.นายตรีเทพ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา  (2).jpg

นายตรีเทพ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลบอล คาร์บอน คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ GCC เปิดเผยว่า ตั้งแต่ 1 ต.ค.2566 สหภาพยุโรป (EU) ได้ประกาศบังคับใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism หรือ CBAM) กับผู้ผลิตและส่งออกสินค้าใน 6 อุตสาหกรรมไปยังสหภาพยุโรป ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน ส่งผลให้บริษัทไทยที่ส่งสินค้าเหล่านี้ไปยังสหภาพยุโรปต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีต้นทุนในการแข่งขันมากขึ้น และขีดความสามารถการแข่งขันลดลง เมื่อต้องเผชิญกับคู่แข่งชาติอื่นที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า

ทั้งนี้ มาตรการ CBAM กำลังจะพ้นระยะเปลี่ยนผ่าน และก้าวสู่การบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 1 ม.ค.2569 นี้ ผู้ส่งออกจะต้องรับภาระเพิ่มเติมจากการช่วยจ่ายค่า “ใบรับรอง CBAM” ให้แก่ผู้นำเข้า ตามปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อย ขณะเดียวกัน ในช่วงปี 2569 นี้ ประเทศไทยน่าจะเริ่มประกาศใช้ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ร.บ.โลกร้อน) เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานโลก โดยภายใต้ พ.ร.บ.ดังกล่าว จะส่งผลกระทบทางตรงแก่หลากหลายอุตสาหกรรมภายใต้การบังคับใช้ 3 เฟส คิดเป็นมูลค่าอุตสาหกรรมรวมกว่า 6.5 ล้านล้านบาท หรือ 37% ของ GDP

“พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะเป็นกฎหมายฉบับแรกของไทยที่กำหนดหน้าที่ทางกฎหมายโดยตรงต่อผู้ประกอบการเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีทั้งข้อบังคับด้านการปล่อยก๊าซฯ กลไกด้านภาษี ตลอดจนการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิ่งที่น่ากังวลคือ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่ได้ตระหนักถึงผลกระทบและต้นทุนที่กำลังจะเกิดขึ้น ยังไม่ได้เริ่มเรียนรู้วิธีการบันทึกคาร์บอน รวมถึงยังไม่ได้เตรียมมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตของตัวเอง ซึ่งท้ายสุดจะส่งผลให้บริษัทเหล่านั้นต้องเสียภาษีคาร์บอนในอัตราที่สูง” นายตรีเทพ กล่าว

สำหรับอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบภายใต้ 3 เฟส ได้แก่ เฟสที่ 1 (ปี 2569) ภาคขนส่ง พลังงาน สาธารณูปโภค โลหะและอโลหะ (เหล็ก อะลูมิเนียม) รวมมูลค่าอุตสาหกรรม 1.71 ล้านล้านบาท หรือ 10% ของ GDP เฟสที่ 2 อุตสาหกรรมปิโตรเลียม ยาง พลาสติก การขุดเจาะปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ เหมืองถ่านหิน กระดาษและเยื่อกระดาษ รวม 1.77 ล้านล้านบาท หรือ 10% ของ GDP เฟสที่ 3 อุตสาหกรรมเกษตรและปศุสัตว์ อาหารและเครื่องดื่ม คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ไฟฟ้า รวม 3.02 ล้านล้านบาท หรือ 17% ของ GDP และรวมถึงภาคอุตสาหกรรมการจัดการของเสีย ที่มีมูลค่ารวมโดยประมาณอีกหลายหมื่นล้านบาท

นายตรีเทพ กล่าวอีกว่า นอกจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบทางตรงแล้ว กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เป็นซัพพลายเออร์ของอุตสาหกรรมเหล่านี้ ยังมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากกฎหมายฉบับใหม่ด้วย เนื่องจากวิธีการบันทึกการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะคำนวณลงไปถึงห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมจะต้องการปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากซัพพลายเออร์ รวมถึงมีมาตรการคุมเข้มอื่นๆ แก่ซัพพลายเออร์ เพื่อให้ต้นทุนภาษีคาร์บอนของตัวเองลดลง

“บริษัทต่างๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงภายใต้กฎหมายใหม่ดังกล่าว เพราะเป็นกฎหมายที่สอดคล้องกับทิศทางมาตรการดูแลสิ่งแวดล้อมของโลก ปัญหาใหญ่คือองค์กรในไทยยังขาดความรู้เรื่องกระบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่วิธีการตรวจวัดและรายงานคาร์บอนฟุตปรินท์ ทั้งของสินค้าและขององค์กร แนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดต้นทุนภาษี เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน การเตรียมความพร้อมด้านต้นทุนและกลไกตลาด ตลอดจนปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” นายตรีเทพ กล่าว

ทั้งนี้ โกลบอล คาร์บอน คอร์ปอเรชั่น จัดตั้งขึ้นมาโดยมีเป้าหมายในการให้บริการจัดการก๊าซเรือนกระจกทั้งช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนกฎหมายบังคับใช้ และหลังจากกฎหมายถูกบังคับใช้ไปแล้ว โดยมีทีมงานและบุคลากรที่มีประสบการณ์ในแวดวงความยั่งยืนองค์กร พร้อมช่วยจัดทัพให้ทุกองค์กร ทั้งในส่วนงานที่ปรึกษา (GHG Consult) ให้คำแนะนำตั้งแต่ต้นน้ำเพื่อให้รู้ว่าองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าใด ไปจนถึงให้คำแนะนำในการลดก๊าซเรือนกระจกผ่านบริการต่างๆ อาทิ คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (CFO), คาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (CFP), คาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการจัดงานอีเว้นท์ (CF-Event), โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทยเพื่อการได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิต (T-VER), โครงการส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก (LESS) ส่วนงานฝึกอบรม (GHG Academy) ส่วนงานทวนสอบ (Validation & Verification Body) ส่วนงานเทคโนโลยีเพื่อจัดการก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint Platform) และส่วนงานรับซื้อ-จำหน่ายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Broker) พร้อมช่วยเหลือองค์กรที่ต้องการปรับตัวเพื่อรับมือทั้งผลกระทบจากมาตรการ CBAM และกฎหมายใหม่ที่จะบังคับใช้ในปี 2569 นี้

GCC