จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : TIDLOR หนี้เสียผ่านจุดสูงสุด มาร์จิ้นสินเชื่อดีขึ้น ลุ้นปรับเพิ่มอัตราจ่ายเงินปันผล


04 สิงหาคม 2568

โบรกเกอร์วิเคราะห์บมจ. เงินติดล้อ หรือ TIDLOR แนวโน้มผลงานปรับตัวดีขึ้น หลังหนี้เสียผ่านจุดสูงสุด ขณะที่มาร์จิ้นสินเชื่อดีขึ้น จับตาบริษัทอาจปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผล (payout ratio) หลังเปลี่ยนมาเป็นบริษัท holding

TIDLOR หนี้เสียผ่านจุดสูงสุด_รายงานพิเศษ (เว็บ).jpg

บล.เคจีไอ ออกบทวิเคราะห์ บมจ. เงินติดล้อ หรือ TIDLOR โดยคาดการณ์ว่า กำไรในไตรมาส 2/68 จะอยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท (ทรงตัวจากไตรมาสก่อน เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 11% ในงวดครึ่งปี 68   เป็นการอิงจากสมมติฐาน 1.) สินเชื่อโตคงที่ +0.7%  และ +1.5%

2.)  มาร์จิ้นสินเชื่อดีขึ้นเล็กน้อยประมาณ +20bps QoQ แต่ลดลง 110bps YoY เนื่องจากยีลด์สินเชื่อดีขึ้น และ ต้นทุนการระดมทุนลดลง 3.) ค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) ทรงตัวอยู่ที่ 3% (จาก 3% ใน 1Q68 และ 3.6% YoY) ซึ่ง credit cost ที่ทรงตัวสะท้อนว่า 1.) การตัดหนี้สูญ (write-off) หนี้เสียผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และ สินเชื่อเสี่ยงสูงในกลุ่ม H/P รถบรรทุกลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ประมาณ 16% (จากประมาณ 20% ใน 2Q67)

2.) มีส่วนรองรองหนี้เสียเพิ่มขึ้น สะท้อนจากสัดส่วน ECL/สินเชื่อเพิ่มขึ้นเป็น 4.6% (จาก 4.2% ใน 2Q67) และ สัดส่วน NPL coverage เพิ่มขึ้นเป็น 256% (จาก 255% ในไตรมาส 1/68 และ 227% ในไตรมาส 2/67) 

คาดว่าต้นทุนทางการเงินจะทรงตัวไปจนถึงสิ้นปีและจะลดลงอย่างมากในปีหน้า  เราคิดว่าต้นทุนทางการเงินของ TIDLOR น่าจะทรงตัวที่ระดับ 3.6-3.7% ไปจนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากบริษัท มีสัดส่วนเงินทุนระยะยาวก้อนใหญ่ ซึ่งล็อคต้นทุนและจะครบอายุในปี 2569 เราคาดว่าการ Refinance น่าจะทำให้ต้นทุนการระดมทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า ซึ่งจะเป็นส่วนที่ช่วยรองรับผลประกอบการหาก credit cost เกิดความผันผวนปีหน้า  และคาดว่า credit cost ยังคงลดลงมา <3%ในปี 2568F (จาก 3.5% ในปี 2567) 

บริษัทเผยว่า ค่าใช้จ่ายสำรองฯ ได้ผ่านจุดสูงที่สุดไปแล้ว เนื่องจากตัดขาดทุนก้อนใหญ่จากสินเชื่อรถบรรทุก ในปี 2567 ซึ่งทำให้คชจ.สำรองฯ อยู่ที่ 4% ใน 3Q67 และ 3.5% ในงวดปี 2567 ทั้งนี้ เนื่องจากราคารถมือสองดีขึ้น และมีการตัดหนี้สูญไปมากแล้วในปี 2567 ดังนั้นค่าใช้จ่ายสำรองฯ ในไตรมาส 1/68 จึงอยู่ที่ประมาณ 3% และน่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับนี้ในไตรมาส 2/68 และ ต่อเนื่องไปถึงครึ่งหลังของปี 68 ด้วย  

บล.เคจีไอ จึงได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 68-69 ขึ้นปีละ 7%, ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2568 เป็น 20.3 บาท, และปรับเพิ่มประมาณการกำไรเพื่อสะท้อนถึง 1.) การปรับลดสมมติฐานคชจ.สำรองฯ ในปี 2568/2569 เป็น 3% ทั้งสองปี (จากเดิม 3.2%)

2.) การปรับลดอัตราการเติบโตของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเป็น +7.5%/+8% (จากเดิม 10% ทั้งสองปี) เนื่องจากรายได้ค่าธรรมเนียมโตช้า นอกจากนี้ เรายัง re-rate PE เป็น 12.5x (จากเดิม 11.5x) ทำให้ได้ราคาเป้าหมายปี 2568F ใหม่ที่ 20.3 บาท (จากเดิม 17.5 บาท) และ

บล.เคจีไอจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจากถือเป็นซื้อ เพื่อสะท้อนถึงการที่ TIDLOR อาจปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผล (payout ratio) หลังจากที่เปลี่ยนมาเป็นบริษัท holding และ สามารถเพิ่ม ROE ได้จากการขยายธุรกิจ หรือ การบริหารจัดการเงินทุน