Talk of The Town

KTC จบรอบ Forced Sell โบรกฯ ชี้ เป็นโอกาส “ซื้อ” ราคาหุ้นร่วงไม่สอดคล้องพื้นฐาน


26 มิถุนายน 2568

พื้นฐานแกร่ง! สำหรับบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC แม้ราคาหุ้น ดิ่งกว่า 22% จากสัปดาห์ก่อน เพราะถูกบังคับขาย นักวิเคราะห์ชี้ปัญหานี้คลี่คลายแล้ว มองเป็นโอกาสสะสมหุ้นพื้นฐานดี ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงไม่ได้สอดคล้องกับพื้นฐานของบริษัทที่ยังแข็งแรง

KTC จบรอบ Forced Sell_S2T (เว็บ) copy_0.jpg

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า KTC มองเป็นหุ้นพื้นฐานแกร่ง ที่ราคาหุ้นจับต้องได้  ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงไม่ได้สอดคล้องกับพื้นฐานของบริษัทที่ยังแข็งแรง และประเด็นผู้ถือหุ้นใหญ่ถูกบังคับ ขายหุ้น ไม่ได้มีผลต่อการดำเนินงานของบริษัท

ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมีการฟื้นตัวมาบ้างแล้ววานนี้ แต่ยังถือว่ามี Upside สูงที่ 38.5% จากมูลค่าพื้นฐานใหม่ที่ 36 บาท หลังปรับลดสมมุติฐาน ROE ลง เหลือเพียง 17% (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ROE ในปี 2025-26 ที่ 17.9%) จากเดิมที่ 19% ได้เป็น Prospective PBV ที่ 2.1 เท่า

โดยมองว่าสมเหตุสมผล เพราะ KTC เป็นหุ้นที่มีจุดเด่นเรื่อง ROE สูงถึง 18.3% สูงกว่า คู่แข่ง 7% และสูงเกือบ 2 เท่าของธนาคาร แม้จะยังใช้นโยบายตั้งสำรองที่ระมัดระวัง จนมี Coverage Ratio สูงถึง 386% ในไตรมาส 1/68 สูงที่สุดในกลุ่มไฟแนนซ์ และสูงกว่าธนาคารอย่าง BBL ที่ขึ้นชื่อว่าตั้งสำรอง ไว้สูง (ราว 300%)

สะท้อนว่าบริษัทมีความสามารถรองรับหนี้เสียได้มากกว่าคู่แข่ง นอกจากนี้ราคาหุ้นที่ ปรับตัวลงทำให้ Div. Yield ของ KTC กลับมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจที่ 5.1% จึงปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุน ใน KTC ขึ้น จาก “TRADING” เป็น “ซื้อ”

โดยประเด็น ราคาหุ้น KTC ที่ปรับลง 22% จากสัปดาห์ก่อน คาดเกิดจากที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทถูกบังคับขายหุ้นที่ ใช้เป็นหลักประกันสำหรับการซื้อหุ้นผ่านบัญชีมาร์จิ้น หลังราคาหุ้นทยอยปรับตัวลงต่อเนื่องราว 47% นับจากต้นปีถึงปัจจุบันส่งผลให้มีแรงขายมากกว่าปกติ

ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือน พ.ค. 68 KTC มีจำนวนหุ้นที่ถูกวางเป็นประกันในบัญชีมาร์จิ้น 420 ล้านหุ้น โดยตั้งข้อสังเกตว่าวานนี้ที่หุ้น KTC มีปริมาณหุ้นซื้อขายสูงถึง 942 ล้านหุ้น สะท้อนว่าประเด็นดังกล่าวถูกคลี่คลายไปแล้ว โดยมีเม็ดเงินที่มากพอจะรองรับจำนวนหุ้นที่ถูกบังคับขาย และมองว่าหลังจากนี้ราคาหุ้นควรจะกลับมาซื้อขายด้วยภาวะที่ปกติมากขึ้นหลังจากนี้

สำหรับไตรมาส 2/68 คาด KTC จะมีกำไรสุทธิ 1,897 ล้านบาท โต 3.9%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 1.9% จากไตรมสก่อน แม้รายได้ดอกเบี้ย รับสุทธิจะโตเล็กน้อย แต่คาดรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยจะโต 2.4% จากไตรมาสก่อน หนุนจากหนี้สูญรับคืนที่เพิ่มขึ้น หลังเร่ง Write Off ลูกหนี้ไปมากในช่วงที่ผ่านมา และบริษัทมีการติดตามหนี้ได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ในไตรมาส 2/68 ปกติจะเป็นไตรมาสที่บริษัทได้รับเงินสนับสนุนจากพันธมิตรเข้ามา ทำให้รายได้อื่นๆ จะเพิ่มเข้ามามากกว่าปกติ อีกฝั่งหนึ่งที่คาด KTC จะทำ ได้ดีคือการคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงาน คาด Cost to Income Ratio ลดลงจาก 37.5% ในไตรมาส 1/68 เหลือ 35% ส่วนการตั้งสำรองคาดทรงตัวจากไตรมาสก่อน เพราะคุณภาพสินทรัพย์ยังไม่มีสัญญาณ ที่แย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ คาด KTC ประกาศงบวันที่ 18 ก.ค.

อย่างไรก็ดีเพื่อยึดหลักอนุรักษ์นิยม เพราะมองว่าเศรษฐกิจในครึ่งหลังปี 68 อาจชะลอตัวลง จึงมีการปรับ เพิ่มความระมัดระวังในประมาณการกำไรสุทธิในปี 68 โดยปรับลดการเติบโตของสินเชื่อจาก 5% เหลือ 3% และเพิ่มค่าใช้จ่ายตั้งสารองอีก 6% ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิลดลง 6.2% เหลือ 7,669 ล้านบาท ยังโต 3.1% จากปีก่อน ส่วนปี 69 คาดโต 5.2% จากปีก่อนหน้า

KTC