EA ผู้เชี่ยวชาญพลังงานสีเขียว ขยายอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้เพิ่มผลตอบแทน ย้ำเป็นธุรกิจที่รอวันเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

“หุ้นกู้ที่ยังไม่ได้จ่ายดอกเบี้ย...คือเมล็ดพันธุ์ที่ยังไม่ผลิดอก แต่ไม่ได้ตาย มันแค่ต้องการฤดูที่ใช่” นิยามที่น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์การประชุมผู้ถือหุ้นกู้ของ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 27 มิ.ย.2568 

เพราะต้องยอมรับความจริงที่ว่า ในอดีต EA เป็นบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับที่ระดับที่ดีมาก  และก็เหมือนกับบริษัททุกแห่งที่จะหันมาระดมเงินผ่านการออกหุ้นกู้มากกว่าการขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์  เนื่องจากมีต้นทุนที่ต่ำกว่าเงินกู้ของธนาคาร  และเมื่อหุ้นกู้ครบกำหนดชำระบริษัทต่างๆก็จะใช้วิธีการ Rollover  หรือการออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาระดมเงินเพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิม  ทำให้การระดมเงินผ่านหุ้นกู้ของEA มีวงเงินกว่า 26,000 ล้านบาท 

แต่เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และฐานะของตัวบริษัทเอง ทำให้การระดมเงินโดยออกหุ้นกู้ใหม่จึงไม่ใช่แนวทางที่ทำได้  และเมื่อวงล้อการออกหุ้นกู้ชะงัก ทำให้การชำระดอกเบี้ยของผู้ถือหุ้นกู้ของ EA ทั้ง 14 ชุด รวมวงเงิน 26,116 ล้านบาท  ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2568-2576 ได้รับผลกระทบตามไปด้วย  

จึงเป็นที่มาของการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ทั้ง 14 ชุด ในวันที่ 27 มิ.ย. 2568 นี้ เพื่อขอปรับอายุตราสารหนี้ จากเดิมที่จะขอขยายออกไป 11 ปี เหลือเพียง 7 ปี โดยมีอายุตราสารเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (Weighted Average Tenor) จาก 7 ปี ลดเหลือ 4.9 ปี 

พร้อมเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางการเงินที่ดีขึ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ในแต่ละรุ่นที่ให้การสนับสนุนและอนุมัติแผน อีกทั้งยังเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้ผู้ถือหุ้นกู้ในแต่ละรุ่นอีก 0.5% ต่อปี โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ได้รับการอนุมัติ และยังเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นกู้มีสิทธิได้รับเงินต้นบางส่วนคืนก่อนกำหนดตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในแต่ละรุ่นด้วย

นอกจากนี้ หากในอนาคตบริษัทมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผล บริษัทจะดำเนินการไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดในสัดส่วนที่เท่ากับจำนวนเงินที่เสนอจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นกู้ได้รับเงินต้นคืนก่อนครบกำหนดได้เพิ่มเติมภายใต้สิทธิของบริษัทในการใช้ Call Option ตามเงื่อนไขที่กำหนด

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2568 EA ได้จัดการประชุมผู้ถือหุ้นกู้แล้วผ่านระบบออนไลน์  แต่เนื่องจากเป็นการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ถึง 14 ชุดพร้อมกัน ทำให้จำนวนผู้ถือหุ้นกู้มีมาก และบางคนยังถือหุ้นกู้มากกว่า 1 ชุด  จึงทำให้การประชุมวันนั้นเกิดปัญหาทางเทคนิค 

แต่การประชุมวันที่ 27 มิ.ย. นี้  EA ได้อำนวยความสะดวกให้กับผู้ถือหุ้นกู้ โดยการจัดทั้งระบบออนไลน์ และออฟไลน์ (จัดประชุมที่บริษัท NEX  บริการรถรับส่งผู้ที่เข้าร่วมประชุม)  เพื่อแสดงความจริงใจ และความโปร่งใส่ของผู้บริหาร 

สำหรับการเลื่อนชำระหุ้นกู้ พร้อมกับเพิ่มดอกเบี้ยและขยายระยะเวลาการถือครอง  แม้จะดูเหมือนเป็นสัญญาณของปัญหาสภาพคล่อง แต่ก็มี “มุมดีๆ” ที่ผู้ถือหุ้นกู้ อาจพิจารณาประกอบ  โดยเฉพาะในด้านผลตอบแทนและโอกาส

โดยนักลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยที่สูงขึ้น (เพิ่ม Yield รับชดเชย) การที่ผู้ออกหุ้นกู้เสนอ “เพิ่มอัตราดอกเบี้ย” ถือเป็น ค่าชดเชย สำหรับการที่นักลงทุนต้องถือยาวขึ้น สำหรับผู้ที่ไม่ได้รีบใช้เงินหรือมีเป้าหมายลงทุนระยะกลาง-ยาว ก็จะเป็น"โอกาสได้ผลตอบแทนที่มากขึ้นโดยไม่ต้องเสี่ยงเพิ่ม"

และยังเป็นการสะท้อนความโปร่งใสและความตั้งใจของบริษัท  เนื่องจากการที่บริษัทเจรจาขอเลื่อนการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นแบบเปิดเผย พร้อมเสนอค่าตอบแทนใหม่ แสดงถึงความตั้งใจที่จะรักษาความสัมพันธ์กับนักลงทุน

ที่สำคัญ หากดูพื้นฐานของบริษัท พบว่า EA  และบริษัทย่อย ดำเนินธุรกิจหลัก 5 กลุ่ม  ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน , ผลิต และจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ,  ผลิต และจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลม ,  ธุรกิจพัฒนา ผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่ สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า  ระบบกักเก็บพลังงาน, ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า , ผลิตและจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้า  ธุรกิจบริการสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าและโรงไฟฟ้าขยะ  ธุรกิจอื่นๆ

จะพบว่า  EA และบริษัทย่อย ทำธุรกิจที่เป็นเทรนด์ของโลกที่ให้น้ำหนักกับเรื่องของการรักษ์โลก การเน้นเรื่องพลังงงานสะอาด  โดยเฉพาะในส่วนของโรงไฟฟ้าสีเขียว ที่ EAมีทั้งพลังงานแสงอาทิตย์  พลังงานลม  และพลังงงานขยะ  

ซึ่งโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม (Solar Power Plant) ปัจจุบัน EA ดำเนินงานโครงการรวม 278 เมกะวัตต์ (มี 4 โครงการ) สนับสนุนโดย PPA ร่วมกับภาครัฐ (EGAT) ฟาร์มกังหันลม (Wind Power Plant)ปัจจุบันมีทั้งหมด 566 เมกะวัตต์ จาก 8 โครงการ โรงไฟฟ้าขยะ (Waste‑to‑Energy) อยู่ระหว่างก่อสร้าง 2 แห่ง: จังหวัดปทุมธานี และภูเก็ต แห่งละ 8 เมกะวัตต์ คาดว่าจะ COD ปี 2026

ธุรกิจของ EA เป็นเทรนด์ของโลกที่กำลังเป็นกระแสเกี่ยวกับพลังงานสะอาด ที่ได้รับการตอบรับจากทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น จากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน  จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจพลังงานสะอาด  และเป็นจังหวะของนักลงทุนในการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส  “รอให้เมล็ดพันธุ์เติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต”