Talk of The Town

หุ้นไทยใครได้-ใครเสีย รับไฟสงครามตะวันออกกลาง


18 มิถุนายน 2568

นอกจากมาตรการภาษีของทรัมป์ที่คอยกดดันตลาดทุนทั่วโลกมาตลอดในปีนี้ แต่ก็ยังประเด็นของสงครามตะวันออกกลางสร้างความกังวลให้นักลงทุนมาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน โดยสถานการณ์ล่าสุดก็ได้เริ่มส่งสัญญาณบางอย่างขึ้น ซึ่งในวันนี้ทางสำนักข่าว Share2Trade จึงอยากจะหยิบมุมมองการลงทุนที่น่าสนใจมาแบ่งปัน 

หุ้นไทยใครได้-ใครเสีย_S2T-(เว็บ).jpg

โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่าสมรภูมิตะวันออกกลางเดือด โดยในวันที่ 13 มิ.ย. 68 อิสราเอลได้โจมตีเป้าหมายในอิหร่าน เช่น โรงงานอาวุธนิวเคลียร์ โดยอิสราเอลให้เหตุผลถึงความจำเป็นในการตัดกำลังอาวุธนิวเคลียร์ ส่วนอิหร่านได้ระดมโจมตีตอบโต้เช่นกัน 

และแม้ในวันที่ 16 มิ.ย.68 อิหร่านจะส่งสัญญาณว่าต้องการยุติสงคราม แต่สงครามข้างต้นยังถือว่ามีความไม่แน่นอนว่าจะจบลงหรือไม่ หลังเช้าวันที่ 17 มิ.ย. 68  ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า “ทุกคนควรออกจากเตหะราน (เมืองหลวงของอิหร่าน) ในทันที” ท่าทีสหรัฐยืนกรานว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับสงครามครั้งนี้

พร้อมแสดงจุดยืนว่าถ้าหากสหรัฐฯ ถูกโจมตีโดยอิหร่าน อิหร่านจะเผชิญการโจมตีจากสหรัฐในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ด้านจีนและสหราชอาณาจักร ยืนอยู่ข้างอิหร่านโดยให้ความเห็นว่าการโจมตีของอิสราเอลเป็นการละเมิดอธิปไตยของอิหร่าน และให้ยุติการกระทำก่อนสถานการณ์จะลุกลามบานปลาย

ดังนั้น ทิศทางสงครามมีท่าทีว่าจะยังรุนแรงต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ มองตลาดมีแนวโน้มตอบรับต่อข่าวดังกล่าวเช่นกัน โดยทางฝ่ายมอง ราคาน้ำมัน และ ทองคำมีโอกาสตอบรับเชิงบวก

สำหรับผลด้านบวกต่อหุ้นไทย กลุ่มพลังงานเกี่ยวกับน้ำมันต้นน้ำได้ประโยชน์ ทั้งนี้ปัจจุบันราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นมาพอสมควร มอง PTTEP ยังน่าสนใจเทรดเก็งกำไร ทั้งนี้กลุ่มโรงกลั่น TOP BCP SPRC มองว่าน่าสนใจรองลงมา เนื่องจากคาดจะได้ประโยชน์จากกำไรสต๊อกน้ำมัน(stock gain) 

แต่มียังมีความเสี่ยงด้านต้นทุนน้ำมันเช่นกัน หากมีช่องแคบ Hormuz มีปัญหา กลุ่มค้าปลีกน้ำมันมองเป็นกลาง แม้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากฐานะเงินกองทุนน้ำมันปรับตัวดีขึ้นน่าจะประครองค่าการตลาดได้ระยะหนึ่ง

ส่วนผลด้านลบต่อหุ้นไทย กลุ่มโรงไฟฟ้า มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น กรณีที่สถานการณ์ไม่คลี่คลายและราคาก๊าซสูงต่อเนื่อง อาจจะมีผลในช่วง 1-2 ไตรมาสข้างหน้า โดยโรงไฟฟ้าที่มีผลกระทบหลักจะเป็น BGRIM และ GPSC

เช่นเดียวกันกับ กลุ่มปิโตรเคมีจะได้รับผลกระทบทางลบหากน้ำมันปรับขึ้นสูง เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบจะสูงขึ้น แม้มีประเด็นด้านจีนและสหรัฐที่คลี่คลายช่วยหนุนก่อนหน้า แต่ระยะสั้นเนื่องจากราคาน้ำมันปรับขึ้นแรง น่าจะเป็น sentiment ลบต่อทั้งกลุ่ม

กลุ่มโรงแรม จากประเด็นสงคราม อิสราเอล-อิหร่าน คาดจำนวนนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย จากการชะลอการตัดสินใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทย โดยจำนวนนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางสะสม เดือน ม.ค.-พ.ค. ปี 68 มีสัดส่วนเพียง 1.4% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากสัดส่วนข้างต้นหุ้นในกลุ่มโรงแรมรับผลกระทบเล็กน้อย แต่คาด MINT CENTEL ERW SPAได้รับ sentiment เชิงลบในระยะสั้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป็นชาวจีน ยุโรปเป็นหลัก

สุดท้ายกลุ่มโรงพยาบาล จากประเด็นสงคราม อิสราเอล-อิหร่าน คาดจำนวนผู้ป่วยตะวันออกกลางมีแนวโน้มลดลง จากการชะลอการตัดสินใจเดินทางเข้ามารักษา (fiy in) หรือการส่งผู้ป่วยของรัฐบาลของประเทศในแถบตะวันออกกลาง สำหรับหุ้นที่คาดว่าอาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว จากการมีสัดส่วนผู้ป่วยเป็นชาวตะวันออกกลาง 

โดยเรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ PR 9 สัดส่วนผู้ป่วยชาวตะวันออกกลาง ประมาณ 30% ของรายได้รวม, BH สัดส่วนผู้ป่วยชาวตะวันออกกลาง ประมาณ 25% ของรายได้รวม, BDMS สัดส่วนผู้ป่วยชาวตะวันออกกลาง ประมาณ 16% ของรายได้รวม และ BCH สัดส่วนผู้ป่วยชาวตะวันออกกลาง ประมาณ 13% ของรายได้รวม

หุ้นไทยใครได้-ใครเสีย.jpg