กระดานข่าว

EPG เปิดเผยผลการดำเนินงานปีบัญชี 67/68 (เม.ย.67-มี.ค.68) ยอดขาย 13,790 ล้านบาท เติบโต 4.7% และมีกำไรสุทธิ 808 ล้านบาท


30 พฤษภาคม 2568

รศ.ดร. เฉลียว วิทูรปกรณ์รองประธานเ.jpg


ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า ในปีบัญชี 67/68 (เม.ย.67-มี.ค.68) บริษัทมียอดขาย 13,790 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 13,170 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 4.7% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 33.4% สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 30 - 33% และมีกำไรสุทธิที่ 808 ล้านบาท ลดลง 33.2% จากปีก่อน เนื่องจากความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ บริษัทมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นทั้งจากธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น และธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ อีกทั้งมีการตั้งสำรองผลขาดทุนทางเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่ 324 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าลดลง 39.6% สำหรับการดำเนินงานตามกลุ่มธุรกิจ มีดังนี้

ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex มียอดขาย 4,215 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อน เป็นผลมาจากความต้องการใช้งานฉนวนกันความร้อน/เย็น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยยอดขายในสหรัฐอเมริกาเติบโตดีขึ้นจากความต้องการฉนวนเกรดพรีเมี่ยม และสินค้าเพื่อใช้ในกลุ่มอุตสาหกรรม Ultra Low Temperature Insulation และ ระบบ Air Ducting system อีกทั้ง ยอดขายในสหรัฐอเมริกาโดยส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มลูกค้าโครงการ ได้แก่ กลุ่ม Semi-Conductor/ Data Center/ และยานยนต์ เป็นต้น

ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas มียอดขาย 6,997 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากปีก่อน เนื่องจากยอดขายบันไดข้างรถกระบะ (Side steps) มียอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน อีกทั้งคำสั่งซื้อสินค้าใหม่จากค่ายยานยนต์ญี่ปุ่นซึ่งรับรู้รายได้เต็มปีในปีบัญชีนี้ รวมถึงการที่ทยอยส่งชิ้นส่วนยานยนต์รุ่นใหม่ ๆ แก่ค่ายยานยนต์ อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ซึ่งกระทบต่อยอดการผลิตของผู้ผลิตยานยนต์ในหลายประเทศ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ของบริษัทเช่นกัน

ส่วนธุรกิจในออสเตรเลียมียอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจากการรับรู้รายได้เต็มปีจากซื้อกิจการร้านค้าปลีก TJM จากตัวแทนจำหน่าย

ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP มียอดขาย 2,578 ล้านบาท ลดลง 3% จากปีก่อน โดยได้รับผลกระทบจากภาวะการแข่งขันที่สูง อย่างไรก็ตาม บริษัท อีสเทิร์น โพลีแพค จำกัด มีจุดเด่นจากมาตรฐานต่าง ๆ เช่น มอก./ GMP/ HACCP/ BRC และ FSC จึงเป็นที่ไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเลือกให้เป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก พร้อมทั้งดำเนินการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

บริษัทมีต้นทุนขายสินค้า เพิ่มขึ้น 2.4% จากปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่ช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของยอดขาย บริษัทได้จัดหาวัตถุดิบจากแหล่งผลิตในหลายประเทศเพื่อให้ต้นทุนเฉลี่ยจากราคาวัตถุดิบมีราคาเหมาะสม สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 13.2% จากปีก่อน มาจากค่าใช้จ่ายในการขายของกิจการในออสเตรเลีย และ ค่าใช้จ่ายในการขนส่งของ ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex และธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas

ในปีบัญชีนี้บริษัทมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 199 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 52 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง 13 ล้านบาท และเป็นขาดทุนที่เกิดขึ้นจริง 186 ล้านบาท 

บริษัทมีการตั้งสำรองผลขาดทุนทางเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ที่ 324 ล้านบาท มาจากรายการลูกหนี้การค้าของบริษัท แอร์โรคลาส จำกัด ซึ่งจำหน่ายสินค้าให้แก่ธุรกิจร่วมทุนในแอฟริกาใต้ ซึ่งได้รับคำสั่งซื้อสำคัญจากค่ายยานยนต์รายใหญ่ในมูลค่าที่เพิ่มขึ้น การแก้ไขปัญหาอยู่ในขั้นตอนการเจรจากับ Supply chain ทั้งหมด โดยผลการเจรจาคืบหน้าไปด้วยดี

นอกจากนี้ บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ 280 ล้านบาท มาจากผลประกอบการของ ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น และธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ ทั้งในและต่างประเทศ

ดร.เฉลียว กล่าวต่อว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 เพื่อขออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปีให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท (แปดสตางค์) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 224 ล้านบาท ซึ่งกำหนดให้มีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 2568 ในวันที่ 23 ก.ค. 68 และหากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นฯ มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผล จะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 4 ส.ค. 68 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 20 ส.ค.68

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.67 บริษัท ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท (หกสตางค์) หากรวมกับการปันผลในครั้งนี้อีก 0.08 บาทต่อหุ้น (แปดสตางค์) จะทำให้บริษัทมีการจ่ายเงิน   ปันผลรวม 0.14 บาทต่อหุ้น (สิบสี่สตางค์) คิดเป็น 48.5% ของผลกำไรสุทธิ (Payout ratio)