Talk of The Town

หุ้นหมู – ไก่ ปีนี้ปัง! เมื่อราคาเนื้อสัตว์ขึ้นต่อเนื่อง


27 พฤษภาคม 2568

หุ้นธุรกิจไก่และสุกรกำลังได้รับผลบวก จากราคาสุกรและไก่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยหลักที่ผลักดันราคาสุกรให้สูงขึ้นมาจากการระบาดของโรคในประเทศ รวมถึงสถานการณ์โรค ASF ที่ยังคงแพร่กระจายในเวียดนามและจีน ส่งผลให้ปริมาณสุกรในตลาดโลกลดลง ด้านตลาดเนื้อไก่ก็มีแนวโน้มสดใส จากการระบาดของเชื้อไข้หวัดนกในระดับรุนแรง

หุ้นหมู – ไก่ ปีนี้ปัง_S2T (เว็บ) copy.jpg

ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า บริษัทที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจไก่และสุกรปีนี้ได้ประโยชน์ได้แก่ CPF, TFG, GFPT, FM  จากราคาหมูที่เพิ่มขึ้นจากโรคท้องถิ่นระบาดในประเทศไทย และโรค ASF ในประเทศเวียดนามและจีน ส่งผลต่อ supply ที่ลดลง 

ในขณะที่ราคาไก่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากโรคไข้หวัดนกระบาดในประเทศ ประเทศบราซิลซึ่งเป็นผู้ส่งออกเนื้อไก่รายใหญ่ที่สุดของโลก พบการระบาดของเชื้อไข้หวัดนกชนิดรุนแรง (HPAI) ภายในฟาร์มแห่งหนึ่ง ส่งผลให้ประเทศคู่ค้าอย่างจีนและสหภาพยุโรป (EU) ประกาศระงับการนำเข้าเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์จากบราซิลเป็นการชั่วคราวทันที โดยจีนและ EU นำเข้าเนื้อไก่จากบราซิลรวมกันกว่า 793,000 ตัน หรือ 15% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด ขณะที่สิงคโปร์ และญี่ปุ่น เริ่มมีการแบนการนำเข้าไก่จากบราซิล  

ทั้งนี้คาดว่าจะเกิดขาดแคลนไก่และส่งผลดีต่อราคาไก่ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์ นอกจากจากราคาปศุสัตว์ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ต้นทุนในการผลิตที่ลดลงจากกากถั่วเหลืองจากผลผลิตที่มากขึ้น และมีแนวโน้มต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบอาจจะลดลง จากการเจรจานำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะเป็นข้าวโพดอาหารสัตว์ เพื่อแลกเปลี่ยนบรรเทาผลกระทบภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ    

สำหรับ CPF แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 31.00  บาท โดยผลประกอบการไตรมาส 2/68 คาดจะดีขึ้นจากราคาสุกรที่ดีขึ้นต่อเนื่องและต้นทุนที่ลดลง แนวโน้มผลประกอบการทั้งปีมีโอกาสมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ เบื้องต้นคาดปี 2568 มีกำไรสุทธิ 19,990 ล้านบาท เติบโต 2.20% จากปีก่อน 

โดยราคาหมูไทยปัจจุบันอยู่ที่ 88 บาท/กก. (บริษัทคาดราคาหมูปีนี้จะอยู่ที่ 80-82 บาท/กก. จากปลายปีที่ผ่านคาดที่ 75 บาท/กก.) จากปัญหาหมูเถื่อนที่คลี่คลาย และจาก supply ที่ลดลงจากผลกระทบราคาตกต่ำที่ผ่านมาและโรคท้องถิ่น ราคาหมูเวียดนามอยู่ที่ 65,400 VGN/kg  จากโรค ASF ระบาด และ supply ที่ลดลง  ในขณะที่ราคาต้นทุนกากถั่วเหลืองอยู่ที่ 16.7 บาท/กก. และข้าวโพดอาหารสัตว์อยู่ที่ 10.7 บาท/กก.  

TFG แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 5.90 บาท โดยคาดปี 2568 มีกำไรสุทธิ 3,959 ล้านบาท เติบโต 25.92% จากปีก่อน ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/2568 คาดเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน จากราคาปศุสัตว์ทั้งไก่และสุกรที่เพิ่มขึ้น โดยราคาสุกรปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก supply ทั่วโลกที่ลดลงจากโรค ASF ยังคงระบาด ในขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ทั้งข้าวโพดอาหารสัตว์ และกากถั่วเหลือยังมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำส่งผลให้อัตรามาร์จิ้นดีขึ้น 

โดยคงประมาณการเดิมกำไรเติบโตจากธุรกิจสุกรที่ดีขึ้นในไทยและเวียดนามและการขยายร้านค้าปลีก  1. ธุรกิจสุกรดีขึ้นคาดรายได้ปี 2568 เพิ่มขึ้น 15% และปีถัดไปเพิ่มขึ้น 8% จากคาดราคาขายเฉลี่ยที่ 75 บาท/กก. และปริมาณการขายเพิ่มขึ้น ธุรกิจสุกรในเวียดนาม บริษัทมีการขยายกำลังการผลิตในช่วงปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเท่าตัว  

2. ธุรกิจไก่คาดเพิ่มขึ้น จากการเน้นจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกของบริษัทเพิ่มขึ้น 3. คาดร้านค้าปลีกมีสาขาเพิ่มขึ้นปัจจุบัน 430 สาขา (สิ้นปี 2567 ที่จำนวน 401 สาขา)  คาดอัตราทำกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มต้นทุนอาหารสัตว์ลดลงตามผลผลิตที่เพิ่มขึ้นทั้งกากถั่วเหลืองและข้าวโพดอาหารสัตว์  

ต่อกันที่ FM แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 7.2 บาท โดยคาดปี 2568 มีกำไรสุทธิ 723 ล้านบาท เติบโต2.99% จากปีก่อน ส่วนไตรมาส 2/2568 จะดีขึ้นต่อเนื่อง จากการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มกำลังการผลิตไก่แปรรูปปรุงสุกเทียบกับปีที่ผ่านมา คาดการณ์ส่งออกไก่ CAV จะกลับมาเพิ่มขึ้นหลังจากยุโรปชะลอออเดอร์ในไตรมาส 1/2568 จากการตุนสินค้าในไตรมาส 4/2568 ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบทั้งข้าวโพดอาหารสัตว์และกากถั่วเหลืองยังลดลงต่อเนื่อง 

โดยยังคงประมาณการเดิมคาดการณ์กำไรปี 2568-2569 เติบโตเฉลี่ย 8% (CAGR2Y) จากรายได้เพิ่มขึ้น คาดราคาขายเฉลี่ยทั้งไก่สดชำแหละและไก่แปรรูปปรุงสุกปี 2568 ลดลงจาก 3% และ 1% โดยอ้างอิงราคาไก่ตลาดที่คาด 40 บาท/กก. จากปี 2567 ที่คาดเฉลี่ย 41 บาท/กก.  คาดปริมาณการขายไก่สดจะเพิ่มขึ้นปีละ 8% และ 6% ตามลำดับ  

ขณะที่บริษัทมีการขยายตลาดใหม่ๆไปในปี 2568 ได้แก่ ฟิลิปปินส์ และ UAE เป็นการส่งออกไก่สดชำแหละและไก่แปรรูปปรุงสุก โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ประเทศ UAE เป็นสัดส่วน 5% และฟิลิปปินส์ตั้งเป้ารายได้เป็นสัดส่วน 2% ของรายได้ส่งออกคาดต้นทุนข้าวโพดและกากถั่วเหลืองซึ่งเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่จะลดลง 2% และ 5% ตามลำดับ ส่งผลให้มาร์จิ้นโดยรวมจะอยู่ที่ 15.1-15.2%  

สุดท้าย  GFPT ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.40 บาท โดยเบื้อต้นคาดปี 2568 มีกำไรสุทธิ 1,789 ล้านบาท ลดลง 9.37% จากปีก่อน โดยไตรมาส 2/2568 คาดจะดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากต้นทุนที่ลดลง และราคาสุกรที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้คาดการบริโภคไก่ที่มีโปรตีนทดแทนเพิ่มขึ้น แต่คาดทรงตัวจากไตรมาสก่อน จากคาดปริมาณการส่งออกประมาณ 8,200-8,500 ตัน ลดลงเล็กน้อยจากกลุ่มยุโรป อังกฤษเป็นหลักที่มีการสั่งซื้อล่วงหน้าในไตรมาส 1/2568 และคาดอัตราทำกำไรยังดีต่อเนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ราคาไก่ทรงตัวจากต้นปีอยู่ที่ 40.5 บาท/กก. 

สำหรับต้นทุนอาหารสัตว์ลดลงจากกากถั่วเหลืองเป็นหลักปัจจุบันอยู่ที่ 16.15 บาท/กก. ลดลงเทียบกับเฉลี่ยปีที่ผ่านมา -9%  แต่ข้าวโพดอาหารสัตว์ปัจจุบันอยู่ที่ 10.4 บาท/กก. ลดลงเทียบกับเฉลี่ยปีที่ผ่านมา -4% 

ดังนั้นแนวโน้มผลประกอบการปี 2568 มีโอกาสดีกว่าที่คาดไว้ จากอัตราทำกำไรที่ดีกว่าคาดจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงต่อเนื่อง และการรับรู้บริษัทร่วมทุนที่เพิ่มขึ้น  

หุ้นหมู – ไก่ ปีนี้ปัง_S2T (เพจ) copy.jpg