อึ้ง! BTS แบกหนี้บาน 2 แสนล้าน ดันส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิพุ่ง 2.6 เท่า โบรกฯ ชี้ไม่น่ากังวล แต่หั่นเป้าเหลือ 5.5 บาท

หลักๆ จะแบ่งเป็น เงินกู้ยืมระยะสั้น 1.5 หมื่นล้านบาท หนี้สินระยะยาวส่วนที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี 1.5 หมื่นล้านบาท และหนี้สินระยะยาว -ส่วนที่ถึงกำหนดชำระเกินกว่าหนึ่งปี 1.4 แสนล้านบาท เป็นต้น
นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) มองว่า ความเสี่ยงด้านเครดิตยังคงจำกัด แม้ว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิจะอยู่ที่ 2.6 เท่า ณ สิ้นปีงบการเงิน 2567 , หนี้สินอยู่ที่ 2.06 แสนล้านบาท และมีหุ้นกู้ 1.3 หมื่นล้านบาท, 9 พันล้านบาท และ 8 พันล้านบาท ที่ครบกำหนดชำระในปี 68-70
แต่ฝ่ายวิจัยไม่คาดว่า BTS จะประสบปัญหาทางการเงินใดๆ เนื่องจาก 1. มีเงินสดและเงินลงทุนหมุนเวียน 1.9 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 67 2. มีเงินอุดหนุนจาก รฟม. ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพู 4.8 พันล้านบาทต่อปีในอีก 10 ปีข้างหน้า
และ 3.การชำระหนี้คืนจาก กทม. 2.3 หมื่นล้านบาท สำหรับระบบไฟฟ้าและเครื่องกลส่วนต่อขยายสายสีเขียว นอกจากนี้ คาดว่า BTS จะได้รับเงินชำระหนี้จาก กทม. 3.9 หมื่นล้านบาทสำหรับงานเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายสายสีเขียว หลังจากศาลมีคำตัดสินให้ BTS เป็นฝ่ายชนะคดี
อย่างไรก็ตาม การขาดทุนจากการดำเนินงานของรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพูที่สูงกว่าคาด ทำให้ต้องปรับกำไรของ BTS ลงเป็นขาดทุน 281 ล้านบาท ในปี 68 (จากกำไร 2.4 พันล้านบาท) (สิ้นงวดบัญชีเดือนมี.ค.) และปรับกำไรลง 75-90% เหลือ 278 ล้านบาท ในปี 69 และ 692 ล้านบาท ในปี 70
โดยราคาเป้าหมายจึงลดลงเหลือ 5.5 บาท (จาก 8.8 บาท) อย่างไรก็ตาม คงคำแนะนำ “ซื้อ” จาก 1.เชื่อว่าราคาหุ้นที่ร่วงลง 43% จากจุดสูงสุดในปีนี้ได้สะท้อนข่าวร้ายไปหมดแล้ว 2.คาดว่ากำไรจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว และจะค่อยๆ ฟื้นตัวตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป และ 3.คาดว่าความกังวลของตลาดต่อความเสี่ยงด้านเครดิตของ BTS จะผ่อนคลายลง หลังจากที่บริษัทฯ ได้รับเงินชำระหนี้คืนจากรัฐบาล 6.2 หมื่นล้านบาท
BTS มีผลขาดทุนปกติจำนวนมากที่ 2 พันล้านบาทปี 67 เนื่องมาจาก 1) ผลขาดทุนจากการดำเนินการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพู ส่งผลให้กำไรจากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงที่ลดลง 2) การขาดทุนต่อเนื่องของ VGI (VGI “ขาย”) ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 60% จากการฟื้นตัวที่ช้าของธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านและธุรกิจอื่นๆ
และ 3) ส่วนแบ่งขาดทุน 2 พันลบ. ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการด้อยค่าการลงทุนใน KEX (KEX “ขาย”) และSINGER (Not-rated) แม้คาดว่ารถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพูจะยังคงขาดทุนต่อเนื่อง แต่คาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมจะกลับมาเป็นบวก 1 พันล้านบาท, 1.2 พันล้านบาท และ1.3 พันล้านบาทในปี 68-70 เนื่องจากไม่มีผลขาดทุนจากการด้อยค่าเพิ่มเติม ส่งผลให้ขาดทุนลดลงเหลือ 281 ล้านบาทในปี 68 ก่อนที่จะกลับมามีกำไร 278 ล้านบาทในปี 69 และ 692 ล้านบาท ในปี 70
สำหรับการดำเนินงานรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพูในงวดไตรมมาส 4/67 ซึ่งมีผู้โดยสารเพียง 40,224 และ 51,618 เที่ยวต่อวัน (เทียบกับจุดคุ้มทุนที่ 150,000 เที่ยวต่อวัน) ตามลำดับ ทำให้ขาดทุนรวมประมาณ 400 ล้านบาท ในงวดดังกล่าว
โดยปัจจุบันคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปที่ 35,000/41,000/47,000 เที่ยวต่อวันในปี 68-70สำหรับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และ 52,000/61,000/71,000 เที่ยวต่อวัน สำหรับรถไฟฟ้าสายสีชมพู ทำให้ทั้งสองสายยังคงขาดทุน 1.7 พันล้านบาท,1.6 พันล้านบาท และ 1.5 พันล้านบาท ในปี 68-70
ยอดนิยม
GULF ลั่นกรณี KBANK ซื้อหุ้นคืน จำกัดสิทธิ "ซื้อขายหุ้น" ของบริษัทไม่ได้ แม้ KBANK ร่อนหนังสือวอนห้ามจำหน่าย
“พงษ์ศักดิ์” ทุ่ม 3.5 พันลบ. เทนเดอร์ SVI หุ้นละ 7.50 บาท ก่อนเพิกถอนออกจากตลาดหุ้น
“เซียนมี่” รับทรัพย์ 146 ลบ. หลัง “พงศ์ศักดิ์” ทำเทรนเดอร์ หุ้น SVI ที่ราคา 7.50 บาท
โบรกฯ คาด IRPC พลิกมีกำไร ครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส หลังสต๊อกน้ำมันเป็นบวก-GIM พุ่ง