นับจากต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนอย่างมาก โดยข้อมูลสิ้นวันที่ 26 เม.ย.2567 ปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,359.94 จุด ลดลง 55.91 จุด หรือ ลดลง 3.95% นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน (วันที่ 26 เม.ย.2567)
แต่ท่ามกลางดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลง ทีมข่าว Share2Trade ตรวจสอบพบว่า 7 อันดับแรกใน SET 50 ที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมากสุด ประกอบด้วย TRUE, AWC, MINT, BH, TTB, AOT, PTTEP
โดย TRUE ถือเป็นหุ้นที่ราคาบวกแรงสุด ซึ่งในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 8.60 บาทต่อหุ้น โดยการแข่งขันที่ลดลงเร็วต่อเนื่องทำให้ ประมาณการปี 2567 มี Upside Risk
และหากมองข้ามไปปี 2568 TRUE จะเข้าสู่ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวกำไรเต็มตัวซึ่งจะทำ ให้มูลค่าเหมาะสมของฝ่ายวิจัยและตลาดถูกปรับเพิ่มขึ้น ให้ TRUE เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มสื่อสารในช่วง 6-12 เดือนจากนี้
ส่วนอันดับ 2 คือ AWC ซึ่งในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 4.80 บาท โดยคาดกำไรหลักไตรมาส 1/67 ของ AWC ที่ 593 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 26% จากไตรมาสก่อน
ทั้งนี้หนุนจากธุรกิจโรงแรมที่ปรับตัวดีขึ้น โดยมีอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็น 74% และการปรับขึ้นค่าห้องพักเฉลี่ยที่ 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 10% จากไตรมาสก่อน นำโดยโรงแรมในกทม. และโรงแรมรีสอร์ท
ดังนั้นรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักของโรงแรมจึงคาดว่าจะเพิ่มขึ้น และคาดว่าธุรกิจค้าปลีกและสำนักงานให้เช่าในไตรมาสนี้จะเพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อันดับ 3 MINT ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดกำไรไตรมาส 2/67 จะทำ record high จากกำไรปกติของ NHH จะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน นำโดย RevPAR ที่คาดปรับขึ้น 5-10% เพราะเป็นช่วง High season ของการท่องเที่ยวและเหตุการณ์สำคัญในยุโรป ยังคงคาดประมาณการกำไรปกติปี 2567 เติบโต 16% แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 44 บาท
ส่วนอันดับ 4 BH ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 285 บาท โดยคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 2/67 น่าจะดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสแรก เนื่องจากช่วงเทศกาลรอมฎอนในไตรมาสนี้มีระยะเวลาสั้นกว่า
นอกจากนี้ คาดว่าจำนวนผู้ป่วยจากตะวันออกกลางที่กลับมาจะชดเชยการลดลงของผู้ป่วยชาวไทยในไตรมาส 2 เมื่อจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดลดลง อย่างไรก็ตาม EBITDA margin น่าจะลดลงเล็กน้อยจากการรับรู้ต้นทุนการเปิดโรงพยาบาลไวทัลไลฟ์ภูเก็ตล่วงหน้า ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการในไตรมาส 2/67
อันดับ 5 TTB ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) คาดกำไรไตรมาส 2/67 ที่ 5.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก NIM ที่สูงขึ้นและสิทธิประโยชน์ด้านภาษี และทรงตัวจากไตรมาสก่อน เพราะการตั้งสารองที่ลดลงจะถูกกลบโดย NIM ที่ลดลง
โดยปรับเพิ่มประมาณการกาไรสุทธิปี 2567 ขึ้น 9% มาอยู่ที่ 2.06 หมื่นล้านบาท เติบโต 11% จากปีก่อน เนื่องจากรวมประโยชน์ด้านภาษีไว้ในประมาณการ แต่ปรับลดสมมติฐาน NIM ปี 2567 ลงจาก 3.26% มาอยู่ที่ 3.13% เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และปรับเพิ่มสมมติฐานอัตราส่วนการตั้งสารองหนี้ต่อหนี้เสียปี 2567 จาก 1.30% มาอยู่ที่ 1.35% แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายใหม่ ณ สิ้นปี 2567 ที่ 2 บาท
อันดับ 6 AOT ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” AOT และ ประเมินราคาเป้าหมายที่ 75 บาท เนื่องจาก AOT มีแนวโน้มจะเติบโตอย่างมากจากการที่จำนวน ผู้โดยสารดีดตัวสูงขึ้น (ปัจจุบันอยู่ 86% ของระดับก่อน COVID) และคาดว่าจะฟื้นตัวเต็มที่เป็น 142 ล้านคนภายในปี 68
อีกทั้งคาดว่ากำไรในไตรมาส 2/67 จะเพิ่มขึ้นทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนในขณะที่จำนวน ผู้โดยสารที่ยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ในเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 33%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) จะช่วยหนุนการเติบโตของกำไรในไตรมาส 3/67
และอันดับ 7 PTTEP ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 178 บาท โดยไตรมาส 2/67 คาดว่ากำไรหลักจะแข็งแกร่งขึ้นจากไตรมาสแรก เนื่องจาก ได้แรงหนุนจากกำไรทั้งสองอย่างทั้งปริมาณและราคา
ทั้งนี้เนื่องจาก G1/61 ดำเนินงานอย่างเต็มกำลังการผลิตตลอดทั้งไตรมาส และถือหุ้นในยาดานาเพิ่มขึ้น ทำให้ PTTEP คาดว่าปริมาณการผลิตในไตรมาส 2/67 จะอยู่ที่ 5.14 แสนบาร์เรลต่อวัน เทียบกับ 4.73 แสนบาร์เรลต่อวันในไตรมาสแรก ขณะที่ราคาก๊าซน่าจะทรงตัวจากไตรมาสแรก ราคาขายผลิตภัณฑ์ของเหลวอาจเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันดูไบขึ้นแล้ว 10% นับจากต้นไตรมาสถึงปัจจุบัน
แต่ท่ามกลางดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลง ทีมข่าว Share2Trade ตรวจสอบพบว่า 7 อันดับแรกใน SET 50 ที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมากสุด ประกอบด้วย TRUE, AWC, MINT, BH, TTB, AOT, PTTEP
โดย TRUE ถือเป็นหุ้นที่ราคาบวกแรงสุด ซึ่งในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 8.60 บาทต่อหุ้น โดยการแข่งขันที่ลดลงเร็วต่อเนื่องทำให้ ประมาณการปี 2567 มี Upside Risk
และหากมองข้ามไปปี 2568 TRUE จะเข้าสู่ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวกำไรเต็มตัวซึ่งจะทำ ให้มูลค่าเหมาะสมของฝ่ายวิจัยและตลาดถูกปรับเพิ่มขึ้น ให้ TRUE เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มสื่อสารในช่วง 6-12 เดือนจากนี้
ส่วนอันดับ 2 คือ AWC ซึ่งในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 4.80 บาท โดยคาดกำไรหลักไตรมาส 1/67 ของ AWC ที่ 593 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 26% จากไตรมาสก่อน
ทั้งนี้หนุนจากธุรกิจโรงแรมที่ปรับตัวดีขึ้น โดยมีอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็น 74% และการปรับขึ้นค่าห้องพักเฉลี่ยที่ 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 10% จากไตรมาสก่อน นำโดยโรงแรมในกทม. และโรงแรมรีสอร์ท
ดังนั้นรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักของโรงแรมจึงคาดว่าจะเพิ่มขึ้น และคาดว่าธุรกิจค้าปลีกและสำนักงานให้เช่าในไตรมาสนี้จะเพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อันดับ 3 MINT ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดกำไรไตรมาส 2/67 จะทำ record high จากกำไรปกติของ NHH จะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน นำโดย RevPAR ที่คาดปรับขึ้น 5-10% เพราะเป็นช่วง High season ของการท่องเที่ยวและเหตุการณ์สำคัญในยุโรป ยังคงคาดประมาณการกำไรปกติปี 2567 เติบโต 16% แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 44 บาท
ส่วนอันดับ 4 BH ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 285 บาท โดยคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 2/67 น่าจะดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสแรก เนื่องจากช่วงเทศกาลรอมฎอนในไตรมาสนี้มีระยะเวลาสั้นกว่า
นอกจากนี้ คาดว่าจำนวนผู้ป่วยจากตะวันออกกลางที่กลับมาจะชดเชยการลดลงของผู้ป่วยชาวไทยในไตรมาส 2 เมื่อจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดลดลง อย่างไรก็ตาม EBITDA margin น่าจะลดลงเล็กน้อยจากการรับรู้ต้นทุนการเปิดโรงพยาบาลไวทัลไลฟ์ภูเก็ตล่วงหน้า ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการในไตรมาส 2/67
อันดับ 5 TTB ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) คาดกำไรไตรมาส 2/67 ที่ 5.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก NIM ที่สูงขึ้นและสิทธิประโยชน์ด้านภาษี และทรงตัวจากไตรมาสก่อน เพราะการตั้งสารองที่ลดลงจะถูกกลบโดย NIM ที่ลดลง
โดยปรับเพิ่มประมาณการกาไรสุทธิปี 2567 ขึ้น 9% มาอยู่ที่ 2.06 หมื่นล้านบาท เติบโต 11% จากปีก่อน เนื่องจากรวมประโยชน์ด้านภาษีไว้ในประมาณการ แต่ปรับลดสมมติฐาน NIM ปี 2567 ลงจาก 3.26% มาอยู่ที่ 3.13% เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และปรับเพิ่มสมมติฐานอัตราส่วนการตั้งสารองหนี้ต่อหนี้เสียปี 2567 จาก 1.30% มาอยู่ที่ 1.35% แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายใหม่ ณ สิ้นปี 2567 ที่ 2 บาท
อันดับ 6 AOT ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” AOT และ ประเมินราคาเป้าหมายที่ 75 บาท เนื่องจาก AOT มีแนวโน้มจะเติบโตอย่างมากจากการที่จำนวน ผู้โดยสารดีดตัวสูงขึ้น (ปัจจุบันอยู่ 86% ของระดับก่อน COVID) และคาดว่าจะฟื้นตัวเต็มที่เป็น 142 ล้านคนภายในปี 68
อีกทั้งคาดว่ากำไรในไตรมาส 2/67 จะเพิ่มขึ้นทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนในขณะที่จำนวน ผู้โดยสารที่ยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ในเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 33%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) จะช่วยหนุนการเติบโตของกำไรในไตรมาส 3/67
และอันดับ 7 PTTEP ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 178 บาท โดยไตรมาส 2/67 คาดว่ากำไรหลักจะแข็งแกร่งขึ้นจากไตรมาสแรก เนื่องจาก ได้แรงหนุนจากกำไรทั้งสองอย่างทั้งปริมาณและราคา
ทั้งนี้เนื่องจาก G1/61 ดำเนินงานอย่างเต็มกำลังการผลิตตลอดทั้งไตรมาส และถือหุ้นในยาดานาเพิ่มขึ้น ทำให้ PTTEP คาดว่าปริมาณการผลิตในไตรมาส 2/67 จะอยู่ที่ 5.14 แสนบาร์เรลต่อวัน เทียบกับ 4.73 แสนบาร์เรลต่อวันในไตรมาสแรก ขณะที่ราคาก๊าซน่าจะทรงตัวจากไตรมาสแรก ราคาขายผลิตภัณฑ์ของเหลวอาจเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันดูไบขึ้นแล้ว 10% นับจากต้นไตรมาสถึงปัจจุบัน
ที่เกี่ยวข้อง
