เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 1/2567 ของหุ้นในกลุ่ม “ธนาคาร” เป็นอย่างไร แต่หากมองไปยังอนาคต แนวโน้มไตรมาส 2/2567 ของ 5 ธนาคารรายใหญ่ของไทยอย่าง SCB, KBANK, BBL, KTB และTTB จะมีความน่าสนใจหรือไม่ Share2Trade หาคำตอบมาให้นักลงทุนแล้ว

โดยภาพรวมของหุ้นกลุ่มธนาคาร นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า กลุ่มธนาคารมีแรงกดดันเพิ่มหลังจากธนาคารประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ลง 0.25% สำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง (ลูกค้าบุคคล และ SME) เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อลดภาระดอกเบี้ย และโอกาสการฟื้นตัวของลูกหนี้ เมื่อประเมินผลกระทบจากต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ปรับสูงขึ้นทำให้ NIM มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากในไตรมาส 1/2567
อย่างไรก็ดี คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 2/2567 จะเติบโตปานกลางจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเติบโต และค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ ลดลง สำหรับในครึ่งปีแรก 2567 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตราว 5-10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เทียบกับในครึ่งแรกปี 2566
ขณะที่ รัฐบาลเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 2567 ทำให้คาดว่าจะมีเม็ดเงินใหม่เพิ่มในไตรมาส 2/2567 และเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้นในครึ่งหลังปี 2567
ทั้งนี้คาดว่าธนาคารจะควบคุมคุณภาพสินเชื่อได้ดี ด้วยฐานะเงินกองทุนและระดับสำรองหนี้ฯ สูง ธนาคารมีความแข็งแกร่งเผชิญความเสี่ยงจากการคงอัตราดอกเบี้ยยาวนานกว่าที่คาด และผลกระทบจากความขัดแย้งการเมืองในต่างประเทศ
SCB ไตรมาส 2 กำไรโต
สำหรับการประเมินปัจจัยพื้นฐานของหุ้นรายตัว เริ่มกันที่ SCB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดแนวโน้มกำไรสุทธิของ SCB ในไตรมาส 2/2567 จะปรับตัวดีขึ้นทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสแรก
โดยหนุนจากการตั้งสำรองที่ผ่อนคลายลง หลังเร่ง Write-Off ลูกหนี้กลุ่มเสี่ยงสูงของ CardX ไปมาก และปัจจุบัน NPL Ratio ของ SCB ยังอยู่ในระดับที่ทรงตัวที่ 3.9% ใกล้เคียงกับไตรมาส 4/2566
นอกจากนี้คาดจะเริ่มเห็นการขยายสินเชื่อของกลุ่มธุรกิจ Consumer Finance มากขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ที่มีการเร่งขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้บริการ (ปัจจุบันมีจำนวน 2 พันสาขา) หนุนให้คาดทั้งปี 2567 SCB จะมีกำไรสุทธิ 46,037 ล้านบาท เติบโต 5.8% จากปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 128 บาท
KBANK ตั้งสำรองผ่อนคลายลง
ส่วน KBANK นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดแนวโน้มไตรมาส 2/2567 กำไรสุทธิของ KBANK จะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนเมื่อเทียบจากไตรมาสแรกคาดขยับขึ้นต่อเล็กน้อย แม้มีผลกระทบจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่จะเริ่มขยับขึ้น
แต่คาดจะถูกชดเชยด้วยการตั้งสำรองที่ทยอยผ่อนคลายลง และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น หนุนจากรายได้ค่าธรรมเนียมสินเชื่อและรายได้เงินปันผลรับของพอร์ตเงินลงทุน ส่วนทั้งปี 2567 คาด KBANK จะมีกำไรสุทธิ 46,390 ล้านบาท เติบโต 9.4% จากปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 162 บาท
BBL ความต้องการสินเชื่อบริษัทใหญ่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ BBL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดแนวโน้มไตรมาส 2/2567 จะเห็นการฟื้นตัวของกำไรสุทธิเมื่อเทียบไตรมาสก่อน หนุนจากการตั้งสำรองที่คาดจะเริ่มลดลง หลังปรับชั้นลูกหนี้กลุ่มที่มีปัญหาลงเป็น NPL ไปแล้ว และบริษัทมี Coverage Ratio ที่สูงเพียงพอ (สูงสุดในกลุ่มธนาคาร)
บวกกับคาดจะเริ่มเห็นความต้องการสินเชื่อของบริษัทใหญ่เพิ่มขึ้น หลังภาครัฐฯ เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ส่วนภาคธุรกิจต่างประเทศยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะ Permata ที่มีความต้องการสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
นอกจากนี้คาดรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยจะปรับตัวขึ้นต่อ เพราะปกติบริษัทจะมีรายได้เงินปันผลเข้ามากที่สุดในไตรมาส 2/2567 และคาดรายได้ค่าธรรมเนียมจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณธุรกิจสินเชื่อที่สูงขึ้น หนุนให้คงคาดทั้งปี 2567 BBL จะมีกำ ไรสุทธิ 43,950 ล้านบาท เติบโต 5.6% จากปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 190 บาท
KTB เด่นสุดกลุ่มแบงก์
KTB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 2/67 จะยังเห็นการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน หนุนจากการตั้งสำรองที่ยังสามารถปรับลงได้ หากสัดส่วนของสินเชื่อโครงการรัฐฯ เพิ่มขึ้น
อีกทั้งคาดจะเริ่มเห็นผลจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณรัฐฯ ทำให้ความสามารถในการชา ระเงินของลูกหนี้ในพอร์ตแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้คาดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะปรับลง หลังมีการตั้งด้อยค่าทรัพย์สินรอการขายเพิ่มเข้ามามากในไตรมาส 1/67
สำหรับปี 2567 คาด KTB จะมีกำไรสุทธิ 43,791 ล้านบาท โต 19.6% จากปีก่อน เด่นกว่าธนาคารใหญ่รายอื่นเนื่องจากไม่มีการตั้งสำรองของลูกหนี้รายใหญ่เข้ามารบกวนเหมือนกับช่วงไตรมาส 4/66 และเป็นธนาคารที่จะได้อานิสงค์บวกมากที่สุดจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณรัฐฯ ส่วนปี 2568 คาดกำไรสุทธิโต 5% จากปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23 บาท
TTB ได้ประโยชน์ด้านภาษี
ปิดท้ายที่ TTB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) คาดกาไรไตรมาส 2/67 ที่ 5.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก NIM ที่สูงขึ้นและสิทธิประโยชน์ด้านภาษี และทรงตัวจากไตรมาสก่อน เพราะการตั้งสารองที่ลดลงจะถูกกลบโดย NIM ที่ลดลง
โดยปรับเพิ่มประมาณการกาไรสุทธิปี 2567 ขึ้น 9% มาอยู่ที่ 2.06 หมื่นล้านบาท เติบโต 11% จากปีก่อน เนื่องจากรวมประโยชน์ด้านภาษีไว้ในประมาณการ แต่ปรับลดสมมติฐาน NIM ปี 2567 ลงจาก 3.26% มาอยู่ที่ 3.13% เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และปรับเพิ่มสมมติฐานอัตราส่วนการตั้งสารองหนี้ต่อหนี้เสียปี 2567 จาก 1.30% มาอยู่ที่ 1.35% แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายใหม่ ณ สิ้นปี 2567 ที่ 2 บาท

โดยภาพรวมของหุ้นกลุ่มธนาคาร นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า กลุ่มธนาคารมีแรงกดดันเพิ่มหลังจากธนาคารประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ลง 0.25% สำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง (ลูกค้าบุคคล และ SME) เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อลดภาระดอกเบี้ย และโอกาสการฟื้นตัวของลูกหนี้ เมื่อประเมินผลกระทบจากต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ปรับสูงขึ้นทำให้ NIM มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากในไตรมาส 1/2567
อย่างไรก็ดี คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 2/2567 จะเติบโตปานกลางจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเติบโต และค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ ลดลง สำหรับในครึ่งปีแรก 2567 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตราว 5-10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เทียบกับในครึ่งแรกปี 2566
ขณะที่ รัฐบาลเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 2567 ทำให้คาดว่าจะมีเม็ดเงินใหม่เพิ่มในไตรมาส 2/2567 และเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้นในครึ่งหลังปี 2567
ทั้งนี้คาดว่าธนาคารจะควบคุมคุณภาพสินเชื่อได้ดี ด้วยฐานะเงินกองทุนและระดับสำรองหนี้ฯ สูง ธนาคารมีความแข็งแกร่งเผชิญความเสี่ยงจากการคงอัตราดอกเบี้ยยาวนานกว่าที่คาด และผลกระทบจากความขัดแย้งการเมืองในต่างประเทศ
SCB ไตรมาส 2 กำไรโต
สำหรับการประเมินปัจจัยพื้นฐานของหุ้นรายตัว เริ่มกันที่ SCB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดแนวโน้มกำไรสุทธิของ SCB ในไตรมาส 2/2567 จะปรับตัวดีขึ้นทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสแรก
โดยหนุนจากการตั้งสำรองที่ผ่อนคลายลง หลังเร่ง Write-Off ลูกหนี้กลุ่มเสี่ยงสูงของ CardX ไปมาก และปัจจุบัน NPL Ratio ของ SCB ยังอยู่ในระดับที่ทรงตัวที่ 3.9% ใกล้เคียงกับไตรมาส 4/2566
นอกจากนี้คาดจะเริ่มเห็นการขยายสินเชื่อของกลุ่มธุรกิจ Consumer Finance มากขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ที่มีการเร่งขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้บริการ (ปัจจุบันมีจำนวน 2 พันสาขา) หนุนให้คาดทั้งปี 2567 SCB จะมีกำไรสุทธิ 46,037 ล้านบาท เติบโต 5.8% จากปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 128 บาท
KBANK ตั้งสำรองผ่อนคลายลง
ส่วน KBANK นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดแนวโน้มไตรมาส 2/2567 กำไรสุทธิของ KBANK จะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนเมื่อเทียบจากไตรมาสแรกคาดขยับขึ้นต่อเล็กน้อย แม้มีผลกระทบจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่จะเริ่มขยับขึ้น
แต่คาดจะถูกชดเชยด้วยการตั้งสำรองที่ทยอยผ่อนคลายลง และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น หนุนจากรายได้ค่าธรรมเนียมสินเชื่อและรายได้เงินปันผลรับของพอร์ตเงินลงทุน ส่วนทั้งปี 2567 คาด KBANK จะมีกำไรสุทธิ 46,390 ล้านบาท เติบโต 9.4% จากปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 162 บาท
BBL ความต้องการสินเชื่อบริษัทใหญ่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ BBL นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดแนวโน้มไตรมาส 2/2567 จะเห็นการฟื้นตัวของกำไรสุทธิเมื่อเทียบไตรมาสก่อน หนุนจากการตั้งสำรองที่คาดจะเริ่มลดลง หลังปรับชั้นลูกหนี้กลุ่มที่มีปัญหาลงเป็น NPL ไปแล้ว และบริษัทมี Coverage Ratio ที่สูงเพียงพอ (สูงสุดในกลุ่มธนาคาร)
บวกกับคาดจะเริ่มเห็นความต้องการสินเชื่อของบริษัทใหญ่เพิ่มขึ้น หลังภาครัฐฯ เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ส่วนภาคธุรกิจต่างประเทศยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะ Permata ที่มีความต้องการสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
นอกจากนี้คาดรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยจะปรับตัวขึ้นต่อ เพราะปกติบริษัทจะมีรายได้เงินปันผลเข้ามากที่สุดในไตรมาส 2/2567 และคาดรายได้ค่าธรรมเนียมจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณธุรกิจสินเชื่อที่สูงขึ้น หนุนให้คงคาดทั้งปี 2567 BBL จะมีกำ ไรสุทธิ 43,950 ล้านบาท เติบโต 5.6% จากปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 190 บาท
KTB เด่นสุดกลุ่มแบงก์
KTB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 2/67 จะยังเห็นการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน หนุนจากการตั้งสำรองที่ยังสามารถปรับลงได้ หากสัดส่วนของสินเชื่อโครงการรัฐฯ เพิ่มขึ้น
อีกทั้งคาดจะเริ่มเห็นผลจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณรัฐฯ ทำให้ความสามารถในการชา ระเงินของลูกหนี้ในพอร์ตแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้คาดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะปรับลง หลังมีการตั้งด้อยค่าทรัพย์สินรอการขายเพิ่มเข้ามามากในไตรมาส 1/67
สำหรับปี 2567 คาด KTB จะมีกำไรสุทธิ 43,791 ล้านบาท โต 19.6% จากปีก่อน เด่นกว่าธนาคารใหญ่รายอื่นเนื่องจากไม่มีการตั้งสำรองของลูกหนี้รายใหญ่เข้ามารบกวนเหมือนกับช่วงไตรมาส 4/66 และเป็นธนาคารที่จะได้อานิสงค์บวกมากที่สุดจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณรัฐฯ ส่วนปี 2568 คาดกำไรสุทธิโต 5% จากปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23 บาท
TTB ได้ประโยชน์ด้านภาษี
ปิดท้ายที่ TTB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) คาดกาไรไตรมาส 2/67 ที่ 5.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก NIM ที่สูงขึ้นและสิทธิประโยชน์ด้านภาษี และทรงตัวจากไตรมาสก่อน เพราะการตั้งสารองที่ลดลงจะถูกกลบโดย NIM ที่ลดลง
โดยปรับเพิ่มประมาณการกาไรสุทธิปี 2567 ขึ้น 9% มาอยู่ที่ 2.06 หมื่นล้านบาท เติบโต 11% จากปีก่อน เนื่องจากรวมประโยชน์ด้านภาษีไว้ในประมาณการ แต่ปรับลดสมมติฐาน NIM ปี 2567 ลงจาก 3.26% มาอยู่ที่ 3.13% เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และปรับเพิ่มสมมติฐานอัตราส่วนการตั้งสารองหนี้ต่อหนี้เสียปี 2567 จาก 1.30% มาอยู่ที่ 1.35% แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายใหม่ ณ สิ้นปี 2567 ที่ 2 บาท
ยอดนิยม
GULF ลั่นกรณี KBANK ซื้อหุ้นคืน จำกัดสิทธิ "ซื้อขายหุ้น" ของบริษัทไม่ได้ แม้ KBANK ร่อนหนังสือวอนห้ามจำหน่าย
“พงษ์ศักดิ์” ทุ่ม 3.5 พันลบ. เทนเดอร์ SVI หุ้นละ 7.50 บาท ก่อนเพิกถอนออกจากตลาดหุ้น
“เซียนมี่” รับทรัพย์ 146 ลบ. หลัง “พงศ์ศักดิ์” ทำเทรนเดอร์ หุ้น SVI ที่ราคา 7.50 บาท
โบรกฯ คาด IRPC พลิกมีกำไร ครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส หลังสต๊อกน้ำมันเป็นบวก-GIM พุ่ง