เรื่องเด่นวันนี้

ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง “ฟู้ดโมเม้นท์” ขายไอพีโอ 376 ล้านหุ้น เตรียมระดมทุนเข้า SET ครึ่งปีหลัง - นำเงินขยายธุรกิจ


11 เมษายน 2567
ก.ล.ต.ไฟเขียวนับหนึ่งไฟลิ่ง บมจ.ฟู้ดโมเม้นท์ (FM) ผู้นำการผลิตและจำหน่ายอาหารแปรรูปปรุงสุกส่งออกที่มุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าเนื้อไก่ เสนอขาย IPO จำนวน 376 ล้านหุ้น เตรียมเข้าจดทะเบียนใน SET ภายในครึ่งหลังปี 67 ระดมเงินขยายธุรกิจ รองรับโอกาสการเติบโต ขยายกำลังการผลิต สร้างโอกาสและศักยภาพการแข่งขัน  ชูจุดเด่นผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่าเนื้อไก่ด้วยเทคโนโลยีมาตรฐานระดับสากล ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

S__1253460.jpg

นางดาริน กาญจนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออพท์เอเชีย แคปิตอล จำกัด ในฐานะ ที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท ฟู้ดโมเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (FM) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์  (ก.ล.ต.) เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ FM เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  

โดย FM จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 376.95  ล้านหุ้น คิดเป็น 38.16% ของจำนวนหุ้นสามัญที่จำหน่ายและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 2.00 บาทต่อหุ้น และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร - หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม คาดเข้าเทรดได้ภายในช่วงครึ่งหลังปี 2567

ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจไก่เนื้อมายาวนานกว่า 40 ปี ทำให้ FM ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมเป็นอย่างดี และด้วยวิสัยทัศน์ของ FM ที่มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารอย่างยั่งยืนด้วยเทคโนโลยี และคุณภาพมาตรฐานสากล เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ควบคุมคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับกลุ่มลูกค้าพันธมิตร เพื่อตอบโจทย์ Lifestyle ของผู้บริโภค จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความน่าสนใจให้นักลงทุน  

นายณัฐพล ดุษฎีโหนด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดโมเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (FM) กล่าวว่า การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ( SET) ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และความน่าเชื่อถือให้ FM ในการต่อยอดธุรกิจ พร้อมขยายโอกาสทางธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันและรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมฯ

ภายหลังการการระดมทุน FM จะนำเงินที่ได้ไปลงทุนเพื่อปรับปรุงสายการผลิตเดิม และ ขยายกำลังการผลิตของโรงเชือดและชำแหละไก่และโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ เพื่อรองรับ การขยายธุรกิจไปยังประเทศใหม่ๆ เพิ่มเติม และลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงหรือธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่ม จากผลิตภัณฑ์พลอยได้ของกลุ่มบริษัทฯ  รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจและคืนเงินกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคารพาณิชย์

“การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มโอกาสการเติบโตระยะยาว โดย FM เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไก่ครบวงจร ที่มีจุดเด่นและเป็นผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อไก่แปรรูปปรุงสุก (Cook Added Value Product : CAV Products) ด้วยเทคโนโลยี  ที่มีมาตรฐานระดับสากล ประกอบกับความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตและความยั่งยืนทางธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต” นายณัฐพล กล่าว

FM ประกอบธุรกิจ การถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company โดยมีธุรกิจหลักคือ ธุรกิจอาหาร (Food Focus) ที่มุ่งเน้นธุรกิจผลิตและจำหน่ายไก่แปรรูปปรุงสุก ( CAV Products) เป็นหลัก  โดย FM ได้นำเนื้อไก่สดจากที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไก่ชำแหละ  มาเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิต CAV Products และสามารถใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของไก่ โดยไม่มีส่วนสูญเสียจากกระบวนการผลิต (Zero Wasted) โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่  1) บริษัท เอฟแอนด์เอฟฟู้ด จำกัด (FF) ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตและจำหน่ายไก่ชำแหละ 2) บริษัท สปริงคิทเช่น จำกัด (SK) ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนไก่แปรรูป และ 3) บริษัท เอฟแอนด์เอฟเพ็ทฟู้ด จำกัด (FFPF) ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตและจำหน่ายอาหารสำเร็จรูปสำหรับสัตว์เลี้ยง (ปัจจุบันยังไม่ได้มีการดำเนินธุรกิจ)

นายสุเมธ  มาสิลีรังสี  ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ฟู้ดโมเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (FM) กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงปี 2564-2566 FM มีรายได้รวม 4,166.42 ล้านบาท 5,825.72 ล้านบาท และ 5,782.16 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 183.72 ล้านบาท 840.67 ล้านบาท และ 254.69  ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราส่วนกำไรสุทธิ 4.43%, 14.48% และ 4.42% ของรายได้จากการขาย

ปัจจุบัน FM มีทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 1,575 ล้านบาท (ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566)  มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักสำรองตามกฎหมายในแต่ละปี
SET