จิปาถะ

'พีระพันธุ์' วัดใจ 'เศรษฐา' ปล่อยกองทุนน้ำมันติดลบ 'แสนล้าน'


29 มีนาคม 2567
'พีระพันธุ์' วัดใจ 'เศรษฐา' ปล่อยกองทุนน้ำมั.jpg

"พีระพันธุ์" วัดใจ "เศรษฐา" ปล่อยกองทุนน้ำมันติดลบ "แสนล้าน" เตรียมเสนอ ครม. หาแนวทางช่วยเหลือ หากไร้งบจากรัฐบาล อาจปรับแบบขั้นบันไดเริ่มเม.ย. 67 ที่ 32 บาท/ลิตร วอนประชาชนเข้าใจ 


จากกรณีที่ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกยังคงผันผวน รัฐบาลได้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการลดภาษีน้ำมันมันดีเซลผ่านการเห็นชอบของกระทรวงการคลัง เพื่อชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 4.17 บาทต่อลิตร คิดเป็นจำนวนเงินที่กองทุนฯ ต้องจ่ายประมาณ 8,700 ล้านบาทต่อเดือน 

ส่งผลให้ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิ ณ วันที่ 24 มีนาคม 2567 ติดลบ 98,220 ล้านบาทแบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 51,136 ล้านบาท ส่วนก๊าซ LPG ติดลบ 47,084 ล้านบาท

นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567  ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้หารือถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประกาศอัตราชดเชย 

ซึ่งที่ประชุม กบน. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ประเภทน้ำมันดีเซลเพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเกิน 30 บาท/ลิตรได้ตั้งแต่เดือนเม.ย. 2567 เป็นต้นไป โดยการดำเนินการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ในกลุ่มน้ำมันดีเซล กบน. จะพิจารณาถึงข้อมูลต่างๆ ตามความเหมาะสมของช่วงเวลา เพื่อไม่ให้กระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนและการบริหารจัดการของผู้ค้าน้ำมันมากจนเกินไป ทั้งนี้ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน 31 มี.ค.– 1 เม.ย. 2567 ยังไม่มีการดำเนินการอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2566 มีมติเห็นชอบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน โดยตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. -31 มี.ค. 2567 ซึ่งกระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังร่วมกันบริหารจัดการราคาขายปลีก โดยใช้กลไกของภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และด้วยสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกยังคงตัวอยู่ระดับสูง 104.03 ดอลลาร์/บาร์เรล (เฉลี่ยวันที่ 1 – 20 มี.ค.67)

อย่างไรก็ตาม กบน. จึงเห็นควรมีการพิจารณาปรับอัตราเงินกองทุนฯ ประเภทน้ำมันดีเซล เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลภายในประเทศสอดคล้องกับราคาตลาดโลกมากขึ้นตั้งแต่เดือนเม.ย. 2567 เป็นต้นไป โดยจะนำข้อมูลต่างๆ ที่มีผลต่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมาพิจารณาร่วมกับแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2563 – 2567 ทุกครั้งที่มีการปรับอัตราเงินกองทุนฯ ในประเภทน้ำมันดีเซล 

"การดำเนินการในครั้งนี้จะเป็นการช่วยให้สภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวดีขึ้น เพื่อสามารถใช้กองทุนฯ เป็นเครื่องมือรองรับกับสถานการณ์วิกฤตราคาน้ำมันที่ผันผวนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะดำเนินการประสานกับกระทรวงการคลังเพื่อหารือในเรื่องอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลต่อไป"

นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู โฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาทตั้งแต่เดือนก.ย. 2566 ทำให้กองทุนฯ เป็นหนี้ใกล้ 1 แสนบาทแล้ว ทั้งนี้ เพื่อมิให้กองทุนฯ มีภาระหนี้มากเกินไป และเป็นการรักษาสภาพคล่องและความเชื่อมั่นของกองทุนฯ กระทรวงพลังงานจะนำเรื่องเข้าหารือใน ครม. เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ ประชาชนไปพร้อมกับการลดภาระหนี้ของกองทุนฯ 

อย่างไรก็ตาม หากไม่มีงบประมาณจากส่วนอื่นเข้ามาช่วย เช่น งบกลาง หรือ การลดอัตราภาษีสรรพสามิต เบื้องต้นคาดว่ากองทุนฯ จะต้องปรับลดอัตราการชดเชยราคาน้ำมันลง 1-2 บาทต่อลิตร ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น แต่เพื่อมิให้เป็นภาระกับประชาชนมากเกินไป จึงจะมีการปรับลดการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลแบบขั้นบันได 

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า คงต้องดูว่าที่ประชุมครม.วันที่ 2 เม.ย. 2567 นี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง จะช่วยได้แค่ไหน หากคิดคร่าว ๆ คือช่วยหาเงินอุดหนุนจากงบกลาง 1 บาทต่อลิตร และลดภาษีลง 1 บาท กองทุนก็จะควักราว 2 บาทกว่า หรือประมาณเดือนละ 6,000 ล้านบาท ซึ่งก็คงแบกรับได้ไม่กี่วันก็จะถึงแสนล้านบาทแล้ว

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1119987