จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : รถยนต์นั่ง EV โตก้าวกระโดด หนุนลงทุนหุ้น “EA”


24 มกราคม 2566
ttb analytics ประเมินรถยนต์นั่ง EV ทั่วโลกและในประเทศไทยเติบโตก้าวกระโดด จากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ  ด้านบล.โกลเบล็ก แนะนำลงทุนหุ้น EA ได้ประโยชน์จากรถยนต์ไฟฟ้า
 รายงานพิเศษ EA 240123.jpg


ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินปัจจุบัน ตลาดรถยนต์นั่ง EV ทั่วโลกเติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่วนหนึ่งได้แรงขับเคลื่อนจากดีมานด์ของฝั่งผู้บริโภค (Demand-Driven) ตามกระแสความกังวลต่อประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่เด่นชัดขึ้น ซึ่งแตกต่างจากพัฒนาการยานยนต์โลกในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาที่ได้แรงขับเคลื่อนจากกลยุทธ์ของฝั่งผู้ผลิต (Supply-Driven) เป็นหลัก ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมีแนวโน้มเปลี่ยนผ่านจากระยะบุกเบิก (Introduction Stage) ไปสู่ระยะขยายตัว (Expansion Stage) อย่างรวดเร็ว 

ทำให้น่าจะเห็นความเคลื่อนไหวจากฝั่งของผู้ผลิตอย่างมากนับจากนี้  และมองว่าในอนาคตจำนวนรุ่นยานยนต์ไฟฟ้าที่จะออกสู่ท้องตลาดอาจมากถึง 500 รุ่น เมื่อเทียบกับปัจจุบันอยู่ที่ราว 300 รุ่น ส่งผลให้ส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าทั่วโลกในปี 2578 คาดว่าจะสูงถึงเกือบ 60% ของยอดขายรถยนต์นั่งทั้งหมด  

เช่นเดียวกับตลาดรถยนต์นั่งไฟฟ้าในไทยที่เติบโตสูง หลังค่ายผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกจากทั้งสัญชาติจีน ยุโรป และญี่ปุ่นต่างเปิดตัวรถยนต์นั่งไฟฟ้าในไทยพร้อมแผนเดินหน้าลงทุนผลิตในประเทศเพื่อขานรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ ส่งผลให้รถยนต์นั่งไฟฟ้าในประเทศมีให้เลือกหลากรุ่นหลายยี่ห้อ 

โดยเฉพาะกลุ่ม SUV ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด และด้วยสมรรถนะของรถที่สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ไกลขึ้น การใส่เทคโนโลยีความปลอดภัยเชิงรุก (Active Safety) และออปชันเสริมที่สดใหม่กว่า ทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่งไฟฟ้าป้ายแดงทั้งปี 2565 สูงถึง 9,678 คัน หรือเพิ่มขึ้น 400.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 (YoY) ใกล้เคียงกับ ttb analytics ได้ประเมินไว้ขณะที่ยอดจองรถยนต์นั่งไฟฟ้าในงานมหกรรมมอเตอร์เอ็กซ์โปที่เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาก็สูงถึง 5,800 คัน เช่นเดียวกับยอดจองโดยตรงผ่านค่ายรถทางฝั่งจีนและสหรัฐอเมริกาที่หันมาบุกทำตลาดเองอีกไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นคัน

ซึ่งการทยอยเปิดตัวรถยนต์นั่งไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ จะยิ่งทำให้รถยนต์นั่งรุ่นเก่ามีโอกาสตกรุ่นเร็วขึ้น โดยรถยนต์นั่งไฟฟ้ารุ่นใหม่มักจะนำเสนอสมรรถนะและความปลอดภัยที่ดีกว่า ที่สำคัญราคามือหนึ่งยังมีแนวโน้มถูกลงตามพัฒนาการของแบตเตอรี่ไฟฟ้า ซึ่งคิดเป็นต้นทุนเกิน 50% ของราคารถ จนอาจทำให้รถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นใกล้เคียงกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปหรือไฮบริดรุ่นใหม่ใน Segment ระดับบน ซึ่งจะกดดันให้ความต้องการซื้อรถยนต์มือสองชะลอตัว โดยเฉพาะรถยนต์นั่งหรูมือสองจากฝั่งยุโรปที่ราคาตกลงมากกว่าค่าเฉลี่ย

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS  ได้ออกบทวิเคราะห์ โดยเปิดเผยถึงแนวโน้มทิศทางการลงทุนปี 2566 ว่า ทางฝ่ายวิจัยมองกรอบดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ( SET) ในปี 2566 ที่ระดับ 1,616 - 1,845 จุด บนสมมติฐานอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) ปี2566 เท่ากับ 108.85 เติบโต 8-9% เมื่อเทียบกับปี 2565 พร้อมทั้งมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ปรับลดระดับความรุนแรงเป็นโรคประจำถิ่น ประกอบกับตัวเลขเงินเฟ้อเริ่มทยอยชะลอตัวเข้าสู่ระดับปกติ

และแนะนำลงทุนในหุ้น 5 กลุ่ม ได้แก่

1.กลุ่มหุ้นได้ประโยชน์จากมาตรการช้อปดีมีคืน ในปี 2566 ประกอบด้วย BJC, CPALL, MAKRO, CRC, COM7, SPVI, CPW, JMART, HMPRO, ZEN, M และ AU

2.กลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้าได้ประโยชน์จากรายได้ปรับขึ้นตามค่า FT แต่ต้นทุนเริ่มคงที่ ประกอบด้วย GPSC, BGRIM และ RATCH 

3.หุ้นกลุ่มการท่องเที่ยวที่ได้รับอานิงสงค์ประเทศจีนเปิดประเทศ ในวันที่ 8 มกราคม 2566 ประกอบด้วย MINT, CENTEL, ERW, SPA, AU และ SHR 

4.กลุ่มหุ้นยั่งยืนด้านพลังงานหมุนเวียน ประกอบด้วย EA , TSE , SSP , SUPER และ PRIME  

5.กลุ่มหุ้นได้ประโยชน์จากรถยนต์ไฟฟ้า ประกอบด้วย EA , GPSC , BCP, OR และ DELTA
EA